เจ้าสาวมือใหม่แห่งสกุลลู่ - เล่มที่5 บทที่ 143 หนอนบ่อนไส้
หลังได้พบกับพ่อของลั่วเสี่ยวซี สิ่งที่ชายสูงวันพูดออกมานั้นเป็นไปตามที่ซูอี้เฉิงคาดการณ์ไว้ทุกอย่าง
“เสี่ยวซีชอบเราก็จริง แต่พวกลูกไม่เหมาะสมกัน ฉินเว่ยเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดในตอนนี้ อาอยากให้เสี่ยวซีกับเขาแต่งงานกัน ทั้งสองคนนิสัยเข้ากันได้ อาเชื่อว่าฉินเว่ยจะดูแลเสี่ยวซีเป็นอย่างดี”
ปรธานลั่วคิดเอาไว้เสร็จสรรพอย่างคนที่เคยอาบน้ำร้อนมาก่อน เขาจัดการวางแผนชีวิตให้ลูกสาวของตนแล้วเรียบร้อย
จะให้ฉินเว่ยแต่งงานกับลั่วเสี่ยวซี ให้ฉินเว่ยเป็นคนดูแลลั่วเสี่ยวซีงั้นเหรอ?
ตอนที่เขายกเจี่ยนอันให้แต่งงานกับลู่เป๋าเหยียน เขารู้สึกราวกับมีใครมาควักเนื้อของเขาไป เขานึกว่าตอนนั้นจะเป็นตอนที่เขาเจ็บที่สุด แต่ทว่าตอนนี้หัวใจของเขาปวดร้าวราวกับมีใครเอามีดมาแทง
ความเจ็บปวดนั้นเขายังพอรับไหว แต่เรื่องนี้เขาจะยอมไม่ได้
ไม่มีทาง เขาไม่มีทางยอมเด็ดขาด!
เสียงที่เต็มไปด้วยโทสะดังขึ้นในใจแบบที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ให้ตายเขาไม่มีทางปล่อยให้ลั่วเสี่ยวซีคบกับฉินเว่ย!
“คุณอาลั่ว เรื่องนี้ผมไม่เห็นด้วย เสี่ยวซีก็คงเช่นเดียวกัน” เขามองผู้อาวุโสกว่าตรงหน้า แววตาและน้ำเสียงดูหนักแน่น “ผมต้องการคบกับเสี่ยวซี ต่อให้เป็นคุณอาก็คงห้ามไม่ได้”
“อาไม่ห้ามพวกเราหรอก” ประธานลั่วยิ้ม “วัยรุ่นก็แบบนี้ อยากมีความรักที่ตัวเองเลือกเอง ไม่เหมือนสมัยอาที่จับคลุมถุงชนกันเป็นว่าเล่น อาเข้าใจ แต่พวกเราคงคบกันไม่ยืดแน่ๆ ต่อให้คบกันก็ไม่มีทางไปกันได้ตลอดรอดฝั่ง อี้เฉิง สุดท้ายแล้วคนที่เสี่ยวซีจะแต่งงานด้วย ยังไงก็เป็นฉินเว่ย”
ซูอี้เฉิงแค่นยิ้มตอบก่อนจะลุกขึ้น
“ไม่หรอกครับ ถ้าเป็นผมไม่ได้ ก็ไม่มีทางเป็นฉินเว่ย คุณอาลั่ว ที่ผมต้องการจะบอกคุณอามีเพียงเท่านี้ ผมขอตัวก่อนนะครับ ผู้ช่วยของผมจะจัดการเรื่องค่าใช้จ่ายทุกอย่างเอง เชิญตามสบายนะครับ”
เขาเดินออกจากร้านอาหาร เสี่ยวเฉินจึงเอ่ยปากถาม
“ผอ.ซูจะไปหาคุณหนูลั่วไหมครับ”
เดิมทีซูอี้เฉิงตั้งใจว่าอย่างนั้น แต่คำพูดของประธานลั่วทำให้เขาอารมณ์ไม่ดี เขาขมวดคิ้วอย่างหงุดหงิดก่อนตอบ
“กลับบ้านก่อน”
ในขณะเดียวกัน ทางด้านลั่วเสี่ยวซีก็โทรหา Ada เพื่อถามว่าวันนี้อารมณ์ของซูอี้เฉิงเป็นอย่างไรบ้าง
“ดูไม่ค่อยดีเลยค่ะ” Ada ตอบ “ดิฉันบอกเรื่องที่คุณมาหาผอ.ซูเมื่อวันก่อน แต่เขาก็ดูนิ่งเฉย คุณหนูลั่วคะ พวกคุณทะเลาะกันงั้นหรือคะ”
ลั่วเสี่ยวซีรู้สึกผิดหวังจึงตอบ Ada ไปไม่กี่คำก่อนวางสาย เธอมองเบอร์โทรศัพท์ของซูอี้เฉิง ใจคิดอยากจะโทรหาเขาเป็นล้านรอบแต่ก็ต้องล้มเลิกความตั้งใจ
วันนี้ไม่ได้ รอให้ผ่านไปอีกไม่กี่วันก่อนดีกว่า ซูอี้เฉิงงานยุ่งขนาดนั้น คงไม่มานั่งคิดเรื่องนี้ทุกวันหรอกมั้ง? สักวันเขาก็คงหายโกรธไปเอง
ลั่วเสี่ยวซีคิดเช่นนั้นโดยไม่รู้เลยว่า ตอนนี้ซูอี้เฉิงกำลังนอนไม่หลับอยู่บนเตียง
“พวกลูกไม่เหมาะสมกัน ต่อให้คบกันก็ไม่มีทางไปกันได้ตลอดรอดฝั่ง”
คำพูดของฉินเว่ยและพ่อของลั่วเสี่ยวซีดังขึ้นในสมองของเขาซ้ำแล้วซ้ำเล่า เมื่อลองคิดตาม สิ่งที่พวกเขาพูดมาก็ใช่ว่าจะไม่มีเหตุผล ถ้าเขากับลั่วเสี่ยวซีคบกันมีแนวโน้มจะจบกันไม่สวยสักเท่าไร คนสองคนที่ถนัดแต่เรื่องทะเลาะ ไม่ยอมปรับตัวเข้าหากัน แล้วจะคบกันยืนยาวได้ยังไง? ต่อให้รักกันก็ตาม คบกันไปก็คงเหนื่อยทั้งคู่
ว่าแต่… ยืนยาวงั้นเหรอ…?
เขาตกใจในความคิดของตัวเอง นี่เขาคิดว่าจะคบกับลั่วเสี่ยวซีไปตลอดตั้งแต่เมื่อไร? ทั้งที่ตอนแรกเขากะแค่จะลองคบกับเธอดูเท่านั้น
ยิ่งคิดก็ยิ่งสับสน ซูอี้เฉิงจึงลุกขึ้นมาเปิดลิ้นชักตรงหัวเตียง ก่อนจะกลืนยานอนหลับเข้าไปสองเม็ด ความง่วงงุนเริ่มเข้าครอบงำ ในที่สุดเขาก็เข้าสู่นิทรา
วันต่อมา
ZuiShiShang ฉบับล่าสุดได้วางแผงอย่างเป็นทางการ
ZuiShishang เป็นนิตยสารแฟชั่นที่ขายดีที่สุดในประเทศ บรรณาธิการของนิตยสารฉบับนี้เป็นเซเลบชื่อดังของวงการแฟชั่น กลุ่มผู้อ่านมีตั้งแต่พนักงานออฟฟิศมือใหม่ CEOระดับสูง ไปจนถึงสาวไฮโซทั้งหลาย หญิงสาวที่สนใจในแฟชั่นจำนวนนับไม่ถ้วนต่างก็เป็นแฟนตัวยงของนิตยสารฉบับนี้ เมื่อภาพของลั่วเสี่ยวซีออกสู่สายตาประชาชน ผลตอบรับที่ได้เกินความคาดหมาย จนนิตยสารขายดีเป็นเทน้ำเทท่า
ภาพเซตแรกคือชุดเดรสยาวคลุมเข่าสีแดงสด ดีไซน์รับกับรูปร่างอันโดดเด่นของลั่วเสี่ยวซีเป็นอย่างดี เผยให้เห็นเรียวขางามสะกดสายตา แต่เมื่อเทียบกับรูปร่างหน้าตาแล้ว สิ่งที่ดึงดูดคนอ่านมากกว่าคือบรรยากาศรอบกายอันเป็นเอกลักษณ์ของเธอ
สีแดงสดโทนนี้หลายคอาจจะเคยใส่ แต่การจะใส่ให้ดูดีมีระดับนั้นยากมาก สีแดงที่ทั้งร้อนแรง เถรตรง และเปิดเผย สิ่งเหล่านี้สะท้อนออกมาจากสายตาและท่าทางของลั่วเสี่ยวซีได้อย่างลงตัว ทำให้สีแดงของชุดไม่ได้กลบความโดดเด่นในตัวเธอสักนิด ในทางกลับกันมันกลายเป็นสิ่งที่ช่วยขับให้ผู้ที่สวมใส่อยู่นั้นดูงามจับตายิ่งกว่าเดิม
บทความแฟชั่นมากมายชอบเน้นย้ำว่า คนเป็นคนสวมเสื้อผ้า ไม่ใช่เสื้อผ้าสวมใส่คน อย่าปล่อยให้เสื้อผ้ามากลบทับความเป็นตัวของตัวเอง ลั่วเสี่ยวซีในชุดนี้สามารถอธิบายคำข้างต้นได้อย่างชัดเจน
แต่ถ้าคุณคิดว่าเพียงแค่นี้ก็จะกำหนดความเป็นเอกลักษณ์ของลั่วเสี่ยวซีได้แล้วล่ะก็ คุณคิดผิด
เมื่อเปิดนิตยสารหน้าถัดไป สไตล์ของเธอเปลี่ยนเป็นสาวออฟฟิศในชุดเสื้อเชิ้ตสีขาว กระโปรงทรงกระสอบ และกระเป๋าหนังสีดำ เครื่องแต่งกายที่ไม่ได้แปลกตาอะไรแต่กลับสะกดทุกสายตาเอาไว้ได้ รอยยิ้มบนใบหน้าของลั่วเสี่ยวซีแปรเปลี่ยนเป็นรอยยิ้มของหญิงสาวผู้มาดมั่น และเมื่อเปิดต่อไป เธอก็กลายร่างเป็นสาวน้อยผู้สง่างามแสนหวาน แตกต่างจากหญิงสาวในชุดเดรสสีแดงอันร้อนแรงเมื่อครู่อย่างสิ้นเชิง ทว่าไม่ได้ดูฝืนหรือไม่เป็นธรรมชาติแต่อย่างใด
ด้วยเหตุนี้ รูปภาพทั้งสามเซตที่ถูกแชร์ในเวยป๋อจึงได้รับการวิพากษ์วิจารณ์ว่า
คนๆเดียวกันแท้ๆ แต่กลับสื่อสารนิสัยและสไตล์ออกมาได้ถึงสามรูปแบบ!
ฉะนั้น นิตยสารปักษ์นี้จึงขายดิบขายดีจนแทบตีพิมพ์ไม่ทัน
ที่ด้านนอกออฟฟิศของผู้อำนวยการเครือเฉิงอันในขณะนี้ บรรดาเลขาของซูอี้เฉิงต่างยืนมุงดูนิตยสารเล่มดังกล่าว
Ada อดอุทานออกมาไม่ได้ “คุณหนูลั่วไปเป็นนางแบบแล้วจริงด้วย แถมยังได้เป็นนางแบบของ ZuiShiShang อีกต่างหาก! ว่าแต่… เมื่อก่อนพวกเราไม่เคยเห็นเธอแต่งตัวหลากสไตล์แบบนี้เลยนี่น่า”
“เค้าเรียกว่าพรสวรรค์!” เลขาอีกคนกล่าว “ก็เหมือนดาราบางคนที่เล่นได้แค่บทหญิงสาวอาภัพ ในขณะที่ดาราอีกคนสามารถเล่นได้ตั้งแต่นักเรียนม.ปลาย พนักงานออฟฟิศ ยันลูกสาวชาวไร่นั่นแหละ คุณหนูลั่วของพวกเราเป็นแบบหลัง เธอมีความสามารถที่จะสื่อสารทุกอย่างออกมาได้ดี ไม่ว่าจะถ่ายแบบสไตล์ไหนก็ไม่ทำให้คนดูรู้สึกอึดอัดหรือเสแสร้ง ทุกอย่างดูเป็นธรรมชาติไปหมด”
“อื้อ ฉันได้ยินมาว่าคุณหนูลั่วได้ผู้จัดการมือทองที่เก่งที่สุดของ Lu Media มาช่วยซับพอร์ตเลยนะ คราวนี้แหละเธอต้องดังแน่ๆ! พวกเราควรขอลายเซ็นเธอไว้ก่อนเลยดีไหม?”
……
“ขอดูนิตยสารหน่อยสิ”
เสียงของชายหนุ่มที่พวกเลขาต่างคุ้นเคยกันดีดังขึ้น ทุกคนนิ่งอึ้งกันไปหมด ก่อนจะหันหลังกลับไปมอง
“ผอ.ซู!” พระเจ้า… นี่เขามาอยู่ข้างหลังพวกเธอตั้งแต่เมื่อไร
“ยังไม่ถึงเวลาทำงานของช่วงบ่าย พวกคุณคุยกันได้ตามสบาย ไม่ต้องเกร็ง” ซูอี้เฉิงยื่นมือออกไป “ขอผมยืมนิตยสารหน่อยได้ไหม”
“ได้สิคะ!” Ada ใช้สองมือประคองนิตยสารยื่นให้เจ้านาย
“ขอบคุณ”
ซูอี้เฉิงเดินถือนิตยสารเข้าห้องทำงานไป เขานั่งลงก่อนจะเปิดมันออกมา เมื่อเห็นภาพของลั่วเสี่ยวซี เขารู้สึกทั้งคุ้นเคยและแปลกหน้าในเวลาเดียวกัน
เวลาลั่วเสี่ยวซีตามตื้อเขา เธอมักจะยิ้มร่าอย่างไม่คิดอะไร บางครั้งก็ชอบทำตัวเซ็กซี่ยั่วยวนเขาอย่างจงใจ แต่นั่นเป็นแค่การล้อเล่น นิสัยจริงๆของเธอไม่ใช่คนแบบนั้น
ตอนนี้ภาพของเธอปรากฏอยู่บนนิตยสารที่ขายดีที่สุดของประเทศ ความสวยและสไตล์ที่หลากหลายทำให้คนมองไม่อาจละสายตา เธอไม่ได้มองมาทางเขาอย่างเพ้อฝันอีกต่อไป แววตาของเธอสะท้อนเพียงความเป็นตัวของตัวเอง
เมื่อคืนหลังได้ยินคำพูดของประธานลั่ว เดิมทีเขากะจะรอให้ผ่านไปอีกสักระยะ ให้ตัวเองได้คิดให้ดีกว่านี้ แต่ตอนนี้สัญชาตญาณร้องเตือนเขาว่า เขาไม่อาจรอได้อีกแล้ว
“Ada” เขากดต่อสายภายใน “คืนนี้ฉันมีตารางอะไรหรือเปล่า”
“มีค่ะ” Ada ตอบ “คุณมีนัดกับคุณถังผอ.ของโหยว่หยิ่น เจรจาเรื่องที่จะร่วมทุนกันน่ะค่ะ”
“ย้ายตารางเป็นวันพรุ่งนี้”
“แต่ผอ.คะ ตารางของพรุ่งนี้เต็มแล้วนะคะ…” Ada รู้สึกว่าช่วงนี้ซูอี้เฉิงดูแปลกไป เมื่อก่อนเขามักจะทำงานตามตารางทั้งหมดของทุกวันราวกับคนบ้างาน แต่ช่วงนี้กลับสั่งให้ย้ายตารางไปมา เลขาอย่างเธอจึงทำงานได้ไม่ง่ายเลย
“งั้นก็เปลี่ยนเป็นมะรืนนี้” ซูอี้เฉิงเอ่ย “เอาเป็นว่าคืนนี้ไม่ได้ ฉันมีธุระ”
“ค่ะ ดิฉันจะแจ้งกับทางเลขาของผอ.ถังให้นะคะ”
หลังวางสายซูอี้เฉิงก็มองภาพของลั่วเสี่ยวซีในนิตยสารอีกครั้ง เขายิ้มมุมปากก่อนจะลงมือจัดการงานตรงหน้า
ขณะที่ง่วนอยู่กับงาน ความคิดของเขาก็เริ่มชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ
เขาไม่ได้แค่อยากจะลองคบเธอ แต่เขาอยากจะคบกับเธอจริงๆจังๆ และหากเป็นไปได้ เขาไม่ได้รังเกียจที่จะต้องแต่งงานกับเธอแม้แต่น้อย
ลั่วเสี่ยวซีบอกว่าเขาแค่สงสารเธอ ที่จริงแล้วไม่ใช่สักนิด เขาจริงจังกับเรื่องนี้มาก ถ้าไม่อย่างนั้นตอนที่ฉินเว่ยพูดว่าจะแต่งงานกับเธอ เขาคงไม่รู้สึกอยากจะเข้าไปชกหน้าเอีกสักรอบ ทั้งๆที่ยืนอยู่ริมถนนที่ญี่ปุ่นแบบนั้น เมื่อวานหลังได้ยินคำพูดของประธานลั่วพ่อของเธอ เขาก็คงไม่เสียมารยาทถึงขนาดพูดออกไปว่า ถ้าสามีในอนาคตของเธอไม่ใช่เขา ก็ไม่มีทางเป็นฉินเว่ย
เขาไม่เคยทำร้ายใครก่อน แต่ลั่วเสี่ยวซีเป็นคนแรกที่ทำให้เขาทำมันลงไป
แล้วลั่วเสี่ยวซียังมาบอกว่าเขาไม่จริงจังอีกงั้นเหรอ?
5โมงตรง ซูอี้เฉิงเซ็นเอกสารชุดสุดท้ายเสร็จเรียบร้อย เขาวางปากกาหมึกซึมในมือ ในที่สุดงานของวันนี้ก็จบลง
เขาลุกขึ้นติดกระดุมเสื้อสูท ขณะที่กำลังจะออกจากห้องทำงาน จู่ๆเสี่ยวเฉินก็วิ่งเข้ามาอย่างรีบร้อน
ทำงานด้วยกันมาตั้งหลายปี เสี่ยวเฉินเป็นผู้ช่วยที่สงบเยือกเย็นที่สุด น้อยครั้งที่เขาจะทำสีหน้าแบบนี้ ซูอี้เฉิงเริ่มรู้สึกสังหรณ์ใจไม่ดี
“เกิดเรื่องอะไร”
“เรื่องใหญ่แล้วครับ” เสี่ยวเฉินพูดพลางหอบหายใจ “ผอ.ซูครับ เครือฉินได้เซ็นสัญญากับทางญี่ปุ่นแล้วครับ ที่สำคัญกว่านั้น แผนงานที่ทางนั้นเสนอให้กับทางญี่ปุ่นเหมือนกับของพวกเราทุกอย่าง ไม่ต่างกันแม้แต่ตัวอักษรเดียว”
ซูอี้เฉิงนึกไปถึงวันนั้นที่เขาพบกับฉินเว่ยที่ริมถนน รอยยิ้มของเขาดูมั่นใจในอะไรบางอย่าง
ที่แท้ เขาวางแผนเอาไว้แล้วสินะ
ซูอี้เฉิงเดินกลับไปที่โต๊ะทำงาน สีหน้าของเขาในยามนี้เย็นเยียบอย่างน่าหวั่นใจ
“สืบได้หรือยังว่าเป็นแบบนี้ได้ยังไง”
“ผมกำลังสืบอยู่ครับ” เสี่ยวเฉินตอบ “แต่เรื่องนี้ไม่ได้เห็นกันชัดๆอยู่แล้วเหรอครับ?”
“นายจะบอกว่ามีหนอนบ่อนไส้เปิดเผยข้อมูลของพวกเราสินะ” ซูอี้เฉิงเอ่ยเสียงเย็นกว่าเดิม
“ผอ.ครับ…” เสี่ยวเฉินลดเสียงเบาก่อนเอ่ย “คนที่มีส่วนร่วมกับแผนงานครั้งนี้คุณเป็นคนเลือกเองกับมือ หลายคนในนั้นก็อยู่ด้วยกันมาตั้งแต่สมัยเพิ่งก่อตั้งบริษัท ทุกคนจงรักภักดีกับเครือเฉิงอันอย่างไม่ต้องสงสัย เพื่อจะได้อยู่ที่นี่ต่อ จางเหมยถึงกับยอมรับคำนินทา ทนอยู่ที่ฝ่ายการตลาด แล้วคุณจะไปสงสัยพวกเขาได้ยังไง”
สายตาคมดังเหยี่ยวของซูอี้เฉิงมองจ้องเสี่ยวเฉิน
“นายอยากจะพูดอะไร”
“ผมแค่อยากจะเตือนว่า คนที่รู้เนื้อหาของแผนงานยังมีคุณหนูลั่วอยู่อีกคน” เสี่ยวเฉินพูดพลางหลับตาปี๋ เขาโพล่งออกไปจนได้ “แถมผมยังได้ยินมาว่า ตระกูลฉินกับตระกูลลั่วกำลังจะเกี่ยวดองกัน คุณหนูลั่วกับฉินเว่ยเองก็สนิทสนมกันมาก ผมสืบมาแล้วครับว่า วันรุ่งขึ้นหลังจากที่คุณหนูลั่วมาช่วยแปลเอกสาร เธอไปถ่ายแบบให้กับ ZuiShiShang ก็จริง แต่ช่วงกลางคืน… เธออยู่กับฉินเว่ยทั้งคืนเลยนะครับ”
“พอแล้ว!” ซูอี้เฉิงตะคอกอย่างคุมอารมณ์ไว้ไม่อยู่ “ออกไป!”
เสี่ยวเฉินไม่ได้พูดอะไรต่อ เขาออกไปจากห้องของซูอี้เฉิงอย่างเงียบๆ
ซูอี้เฉิงปัดโทรศัพท์บนโต๊ะทำงานอย่างแรงด้วยบันดาลโทสะ จนมันตกลงบนพื้นแตกเป็นเสี่ยงๆ
ติดตามอัพเดทก่อนใคร ด้วยการกดไลค์แฟนเพจเรื่อง “เจ้าสาวมือใหม่แห่งสกุลลู่” : https://goo.gl/Q3N1Qj
อ่านฟรีได้ที่นี่ หรือ
อ่านล่วงหน้า เร็วกว่าใครหลายร้อยตอนได้ที่เว็บไซต์ กวีบุ๊ค : https://www.kawebook.com/story/view/97
120/เล่ม (หากนับตอนฟรีจะเฉลี่ย80-90บาท/เล่ม ค่ะ ) เมื่อเทียบกับนิยายแปลเป็นเล่ม 30 ตอน เท่ากับ 1 เล่ม