เกิดใหม่ในร่างเก่า-เจียงลั่วอวี้ - เล่มที่ 7 บทที่ 199 จบสิ้น (6)
“หึ! ข้าไม่อยากฟัง ไม่ว่าใครทั้งนั้น!” เย่จงเห็นหน้าเจียงฮุ่ยก็นึกไปถึงครั้งก่อนที่นางพยายามเกลี้ยกล่อมจนสุดท้ายฉีกว๋อกงถูกใส่ความ ยิ่งคิดยิ่งแค้น น้ำเสียงดังขึ้นอย่างประชดประชัน
“ต่อไปห้ามให้ใช้คนมาตามข้าอีก หากเสด็จพ่อรู้เข้า เจ้ากับข้าตายแน่! “
“ฝ่าบาท ฝ่าบาทเพคะ ช้าก่อน! หม่อมฉันให้คนไปเชิญฝ่าบาทมาหลายครั้ง เพิ่งจะมีครั้งนี้ที่ฝ่าบาทยอมเสด็จมา เพราะฝ่าบาทคิดว่าเรื่องนั้นเป็นความผิดของหม่อมฉันใช่ไหมเพคะ?” เมื่อเจียงฮุ่ยเห็นเย่จงกำลังจะเดินจากไป นางก็รีบเข้าไปรั้งแขนเสื้อเอาไว้เพื่อจะอธิบายให้ฟัง
“หม่อมฉันเชิญท่านมาให้วันนี้ ก็เพื่อจะอธิบายเรื่องฉีกว๋อกง”
เย่จงได้ยินดังนั้นก็หยุดฝีเท้าและหันไปมองนางด้วยสายตาตำหนิ ทำเอาเจียงฮุ่ยกลัวจนต้องปล่อยมือจากแขนเสื้อ เย่จงปัดรอยยับบนแขนเสื้อให้เข้าที่เข้าทางและมองนางหน้า
“ข้าก็อยากจะฟังดูว่าเจ้าจะแก้ตัวอย่างไร!” เขามองนางด้วยสายตาประหลาดและดุดัน ด้วยอยากรู้ว่าเจียงฮุ่ยจะพูดอะไรต่อ “พูด! “
“ฝ่าบาท หม่อมฉันเป็นคนอย่างไร ฝ่าบาทไม่รู้เลยหรือเพคะ?” เจียงฮุ่ยเห็นว่าเย่จงยังไม่เดินหนีตนไป แสดงว่ายังพอมีโอกาสอธิบาย นางเดินเข้าไปจับแขนเขาและพาเข้าไปนั่งในศาลา รินน้ำชาพลางพูดขึ้น
“ในเมื่อฝ่าบาทรับปากจะแก้แค้นให้แล้ว หม่อมฉันจะลงมือเองเพื่ออะไร อีกอย่างหม่อมฉันอยู่แต่ในวัง เรื่องฉีกว๋อกงที่นอกวัง หม่อมฉันจะเอาความสามารถอะไรไปก่อเรื่องให้เขาได้? “
ในวันที่เกิดเหตุ เจียงฮุ่ยไปพูดคุยกับฮองเฮาแต่เช้า พยายามแสดงตนว่าจงรักภักดีและยังช่วยฮองเฮากำจัดสนมชั้นกุ้ยเหรินที่เพิ่งเข้าวังมา จากนั้นตนเองก็กลับตำหนักพักผ่อน
ส่วนหัวขโมยคนนั้น นางก็แค่สั่งให้เอากำยานชะมดเช็ดใส่ในของที่ขโมยมา เพื่อที่จะให้ร้ายฉีกว๋อกงเป็นการแก้แค้นเล็กๆ น้อยๆ ไม่ได้ถึงขนาดว่าจะให้เขาโดนโทษจากคดีกบฏเช่นนี้
ถึงปากนางจะพูดว่าเคียดแค้น แต่นางรู้ว่าฉีกว๋อกงเป็นกำลังสำคัญของรัชทายาท และเขายังเป็นญาติกับมารดาตน หลังจากเกิดเรื่องขึ้น นางเองก็รู้สึกกลัว รัชทายาทไม่คิดบ้างหรือว่านางจะขุดหลุมฝังศพให้ตนเองทำไม? เหตุใดจึงคิดว่าเป็นฝีมือนาง? มันไม่ยุติธรรมเลย!
เพื่อที่จะแสดงให้เห็นว่านางกลัวจริงๆ นางจึงแสร้งทำมือสั่นไปด้วยขณะที่รินน้ำชา “ยิ่งหม่อมฉันได้ยินเรื่องฉีกว๋อกง หม่อมฉันก็กลัวจน…”
เย่จงเห็นคำพูดและอาการเหล่านั้นก็เริ่มจะเชื่อคำนาง แต่น้ำเสียงยังคงเย็นชา “ถ้าเป็นจริงตามที่เจ้าพูด ว่าเรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับเจ้า แล้วเจ้าจะกลัวอะไร?”
เจียงฮุ่ยเห็นว่าเขาเริ่มมีทีท่าคลายความสงสัย ก็รีบพูดสำทับ “ฝ่าบาท ถึงแม้ว่าเรื่องนี้หม่อมฉันจะไม่ใช่คนทำ แต่หม่อมฉันก็กลัวว่าฝ่าบาทจะสงสัยในตัวหม่อมฉัน ที่สำคัญ พักนี้เวลาฮ่องเต้มาหาหม่อมฉัน หม่อมฉันรู้สึก…รู้สึก…”
เจียงฮุ่ยอ้ำอึ้งจนเย่จงรู้สึกรำคาญ “รู้สึกอะไร?”
เจียงฮุ่ยกะพริบตา ย่อตัวลงไปแนบกับตัวของเย่จงและพูดด้วยน้ำเสียงนิ่มนวล “หม่อมฉันรู้สึกว่า สุขภาพของฮ่องเต้ไม่ค่อยแข็งแรงอย่างเมื่อก่อนแล้วเพคะ”
“อ้อ?” เย่จงหันไปสบตากับนางที่ดูมีความนัย
“ความลับเช่นนี้เจ้ารู้ได้อย่างไร? หลายปีมานี้ตาแก่นั่นพยายามปกปิดมาตลอด โดยเฉพาะเรื่องสุขภาพของเขา บรรดาครอบครัวของหมอหลวงต่างอยู่ในกำมือเขา ทำให้ไม่มีข่าวเล็ดลอดออกมาได้เลย”
เย่จงลุกขึ้นสะบัดแขนเสื้อเดินไปหยุดที่นอกศาลา “ตาแก่นั้นคงติดนิสัยขี้ระแวงมาตั้งแต่ตอนที่ช่วงชิงตำแหน่งรัชทายาท เจ้าเพิ่งเข้าวังมาไม่นาน เขาจะปล่อยให้เจ้ารู้ความลับพวกนี้ได้อย่างไร?”
เจียงฮุ่ยไม่นึกว่าเย่จงจะถามนางกลับแบบนี้ ทำเอานางเอกก็ไม่รู้จะตอบอย่างไร นางจะได้แต่ทำท่าทางน่าสงสาร ปากสั่นน้ำตาคลอ “ฝ่าบาทพูดแบบนี้ แสดงว่าไม่เชื่อหม่อมฉันใช่ไหมเพคะ?”
“ไม่ใช่ว่าไม่เชื่อ” เย่จงเห็นท่าทางน่าสงสารของนางก็เริ่มใจอ่อน คิดถึงรักครั้งเก่าที่เคยมีให้กัน “ข้าแต่สงสัยว่า เพิ่งจะเกิดเรื่องฉีกว๋อกงขึ้น เจ้าก็พูดเรื่องพวกนี้ขึ้นมา เจ้ากำลังคิดอะไรอยู่กันแน่? “
เจียงฮุ่ยได้ยินดังนั้นก็รีบวิ่งเข้าไปจับแขนเขา “หม่อมฉันคิดเผื่อฝ่าบาทเพคะ ฝ่าบาทคิดดูดีๆ สิเพคะ”
เย่จงมองตานางสักพัก อยู่ๆ เขาก็เปลี่ยนความคิด หันมาโอบเอวนางไว้และยกนิ้วมือขึ้นลากไปตามริมฝีปากนาง “เจ้านี่นะ ปากเคลือบน้ำผึ้งหรือไร ว่าแต่เรื่องที่เจ้าบอกมา บางทีอาจจะไม่จริงก็ได้…”
พูดจบเขาก็จูบไปที่ใบหูของนางและกระซิบเบาๆ “เจ้าคอยสังเกตตาแก่นั่นไว้ให้ดี รอจนข้ามีตำแหน่งที่มั่นคง ข้าจะตอบแทนเจ้าอย่างงาม เข้าใจใช่ไหม?”
ลึกๆ แล้วเจียงฮุ่ยรู้สึกกลัว แต่ก็ยังยิ้มและโผเข้าหาอ้อมกอด “หม่อมฉันจะไม่ทำให้ฝ่าบาทต้องกังวล หม่อมฉันรู้ว่าฝ่าบาทเอ็นดูหม่อมฉัน และหม่อมฉันก็ไม่ได้แสร้งทำดีเพื่อเรียกร้องความสนใจจากฝ่าบาทนะเพคะ”
เย่จงเห็นท่าทางที่นางออดอ้อนก็รู้สึกบอกไม่ถูก แต่เขาก็ยิ้มขึ้น “ฉลาดมาก ข้าชอบความฉลาดของเจ้า มา…มาให้ข้าจูบอีกที…”
เมื่อเห็นว่าเขากำลังก้มหน้าลงมาจะจูบ เจียงฮุ่ยก็ยิ่งทำท่าทางสะดีดสะดิ้งร้องขอ “ฝ่าบาทอย่าทำแบบนี้เพคะ กลางวันแสกๆ ไม่เอาเพคะ…”
เย่จงโอบรัดตัวนางแน่นขึ้นและกระซิบข้างหูนาง “ไม่เอางั้นหรือ ข้าว่าเจ้ากำลังโกหกนะ เจ้าตกเลือดมาเกินเดือนแล้ว ตาแก่นั่นก็เอาแต่มาเยี่ยมเจ้า ไม่ได้มานอนค้างกับเจ้าใช่ไหม…”
เจียงฮุ่ยได้ยินดังนั้นก็ยิ่งแสดงอาการเป็นนกน้อยพิงศีรษะในอ้อมอก พูดจาออดอ้อนฉอเลาะ “ฝ่าบาทก็รู้ว่าฮ่องเต้แข็งแรงสู้ฝ่าบาทไม่ได้สักนิด หม่อมฉันคิดถึงแต่ฝ่าบาทผู้เดียว ทุกวันเฝ้าคอยแต่ฝ่าบาทให้มา…หม่อมฉัน…”
“แม่งามงอน ข้ารู้ว่าเจ้าอยาก…”
“ฝ่าบาท…”
ทั้งสองคนกอดรัดและจ้องตากัน ต่างคนต่างก็เข้าใจในสิ่งที่อีกฝ่ายต้องการ
ขันทีหนุ่มหยุดฝีเท้าลงและชี้นิ้วไปยังขันทีน้อยที่ยืนอยู่กับเจินจูตรงข้างกำแพง เขาพูดกับฮ่องเต้
“ฝ่าบาท หม่อมฉันเห็นพวกเขาไปทางนั้น นั่นไงฝ่าบาท! ขันทีคนนั้น ที่หม่อมฉันเห็นก็คือขันทีคนนั้น!”
พูดจบก็ละสายตาไปมองเจินจูที่อยู่ข้างๆ แทน แล้วก็บ่นพึมพำกับตนเอง “นางกำนัลคนนั้น รู้สึกคุ้นหน้าจริง…”
หูกงกงเห็นดังนั้นก็เริ่มใจไม่ดี สีหน้าฮ่องเต้ดูแย่ขึ้นเรื่อยๆ ส่วนขันทีหนุ่มก็ยังไม่ยอมถอยออกไป เขาจึงหันไปดุ “พอได้แล้ว บ่นพึมพำอะไร ถึงที่แล้วก็รีบถอยออกไปซะ!”
ขันทีหนุ่มกลัวจนหัวหด “ขอรับ ขอรับ…”
“ช้าก่อน” ฮ่องเต้เรียกขันทีหนุ่มให้หยุดอยู่กับที่และถามขึ้น “เจ้าบอกว่าคุ้นหน้านาง เจ้ารู้ไหมง่านางเป็นคนของใคร? “
ขันทีหนุ่มพยักหน้าราวกับไม่เข้าใจในสิ่งที่ฮ่องเต้ต้องการจะสื่อ เขาชี้นิ้วไปทางขันทีหนุ่มและนางกำนัล “รู้พะย่ะค่ะ…นางกำนัลคนนั้นดูเหมือนจะเป็นคนของตำหนักฮุ่ยลี่ นางชื่อเจินจู เป็นนางกำนัลคนสนิทของพระสนมฮุ่ยเฟยพะย่ะค่ะ”
“ซี้ซั้วพูด!” หูกงกงไม่คิดว่าขันทีหนุ่มจะพูดในสิ่งที่น่าตกใจขึ้นมา เขาถึงกับหน้าถอดสีและต่อว่า “เจ้าเคยไปเห็นนางกำนัลคนสนิทของพระเทวีฮุ่ยเฟยตอนไหน อย่ามาพูดจามั่วซั่วนะ! “
ติดตามอัพเดทก่อนใคร ด้วยการกดไลค์แฟนเพจเรื่อง “เกิดใหม่ในร่างเก่า-เจียงลั่วอวี้” : http://bit.ly/2ByRjpi
อ่านฟรีได้ที่นี่ หรือ
อ่านล่วงหน้า เร็วกว่าใครหลายร้อยตอนได้ที่เว็บไซต์ กวีบุ๊ค : https://www.kawebook.com/story/view/650
120/เล่ม (หากนับตอนฟรีจะเฉลี่ยอยู่ที่ 80-90 บาท/เล่มค่ะ ) เมื่อเทียบกับนิยายแปลเป็นเล่ม 30 ตอนเท่ากับ 1 เล่ม