ลิขิตหงสาเหนือปฐพี - เล่มที่ 3 บทที่ 63 บอกปัด
พระสนมกุ้ยเฟยรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย นางไม่เคยคิดมาก่อนว่าหว่านเอ๋อร์จะดูทุกข์ระทมเพราะเรื่องนี้ นางอยากจะรู้ในทันทีว่าบุรุษแบบไหนที่มาเข้าตาหว่านเอ๋อร์ของนางได้
พระสนมกุ้ยเฟยมองด้วยสายตาที่ผ่อนคลาย กุมมือขาวนวลของหว่านเอ๋อร์เอาไว้ “คุณชายบ้านไหนกัน? บอกแม่มา วันหลังแม่จะบอกเสด็จพ่อของเจ้า ให้เขาช่วยจัดการเป็นธุระให้”
หว่านเอ๋อร์ดึงมือให้หลุดจากมือของพระสนมกุ้ยเฟย ยิ่งมีท่าทางเหนียมอาย พวงแก้มแดงก่ำขึ้นมา “เขา… เขาไม่ได้เป็นคุณชายจากตระกูลสูงส่งที่ไหน…”
“เช่นนั้นเขาเป็น…?”
“ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน จำได้แต่ว่าเคยพบเขาสองครั้ง ดูเหมือนว่าเขาจะสนิทกับพี่รองและพี่หนานสวิน เขาเป็นบุรุษที่ราวกับเทพลงมาจุติ…” ยิ่งพูดไปเสียงของหว่านเอ๋อร์ก็ยิ่งเบาลงไปเรื่อยๆ ในที่สุดก็เหลือเพียงนางคนเดียวที่ได้ยิน
แต่จากที่หว่านเอ๋อร์กล่าวมา พระสนมกุ้ยเฟยก็พอเดาได้ถึงเจ็ดแปดส่วน เพียงแต่ยังไม่อยากจะเชื่อเท่านั้น จึงถามต่ออย่างไม่นิ่งนอนใจ “เจ้าไปรู้จักเขาได้อย่างไร?”
“ตอนงานเลี้ยงร้อยสกุลมีโอกาสได้พบหน้ากัน แต่คิดว่าเขาคงลืมข้าไปแล้ว เมื่อวานพวกเราได้เจอกันอีกที่วัด หว่านเอ๋อร์ถึงได้รู้ใจตนเอง” พูดจบ หว่านเอ๋อร์ก็เหมือนคิดอะไรขึ้นมาได้ จึงกล่าวต่อ “จริงสิ เมื่อวานพี่รองและพี่สะใภ้ก็อยู่ที่วัดด้วย”
เมื่อหว่านเอ๋อร์กล่าวเช่นนี้ พระสนมกุ้ยเฟยก็แน่ใจแล้วว่าคนที่นางกล่าวถึงก็คือจวินหวง ฉับพลันในใจก็รู้สึกต่อต้านขึ้นมาเล็กน้อย แต่พอเงยหน้าขึ้นเห็นสีหน้ายิ้มแย้มเปี่ยมไปด้วยความสุขของหว่านเอ๋อร์แล้วก็กลับพูดไม่ออก ใครเล่าอยากจะทำลายหัวใจที่เต็มไปด้วยความเบิกบานของนาง
ในที่สุดนางก็ได้แต่ปลงอยู่ในใจ รู้สึกว่าลูกหลานก็ควรจะมีความสุขในทางที่เขาเลือกเอง ตนเองจะกังวลไปก็ไร้ประโยชน์ “ในเมื่อเจ้าชอบ เช่นนั้นแม่จะหาวันไปพบพี่รองของเจ้าและคุยกับเขาดู คิดว่าพี่รองของเจ้าคงจะมีวิธี เพียงแต่… เจ้าอย่านึกเสียใจภายหลังก็แล้วกัน… เฟิงไป๋อวี้ผู้นั้นเป็นคนลึกล้ำมากด้วยเพทุบาย…..”
“หว่านเอ๋อร์ทราบแล้วเพคะ เพียงแค่เสด็จแม่ยอมช่วย หว่านเอ๋อร์ย่อมขอบพระทัยอยู่แล้ว นอกจากนี้หว่านเอ๋อร์ยังรู้สึกว่าคุณชายเฟิงเป็นสุภาพบุรุษมีคุณธรรมที่หาได้ยากยิ่ง ถ้าได้อยู่ร่วมเป็นสามีภรรยากับเขา จะต้องมีชีวิตคู่ที่เปี่ยมไปด้วยความสุขยืนยาวแน่นอน” หว่านเอ๋อร์ไม่อยากฟังพระสนมกุ้ยเฟยพูดถึงจวินหวงในทางที่ไม่ดี จึงกล่าวตัดบทในสิ่งที่พระสนมยังพูดไม่จบ
พระสนมกุ้ยเฟยได้แต่ส่ายหน้า ถือว่าต้องยอมรับแบบนี้ไปโดยปริยาย พวงแก้มแดงฝาดของหว่านเอ๋อร์ค่อยๆ หายไป นางลุกขึ้นตัดสินใจอำลาออกมา
“หว่านเอ๋อร์ หากเขาไม่ยินยอมล่ะ?” ในที่สุดพระสนมกุ้ยเฟยก็ยังคงเอ่ยถาม
หว่านเอ๋อร์ชะงักไปเล็กน้อย แล้วก็หัวเราะรื่นราวกับไม่เคยคิดถึงปัญหานี้มาก่อน ยิ่งรู้สึกว่าปัญหานี้ช่างเป็นเรื่องไร้สาระเสียเหลือเกิน “เสด็จแม่ ทรงคิดว่าหว่านเอ๋อร์เป็นสตรีที่ไร้เสน่ห์เช่นนั้นหรือ? นอกจากนี้ข้าเป็นองค์หญิงผู้สง่างาม เขาเป็นเพียงคนที่ไม่มีแม้แต่ตำแหน่งขุนนาง เป็นไปได้หรือที่เขาจะกล่าวว่าไม่ยินยอม?”
“แล้วถ้าหากว่าเขาแต่งงานกับเจ้าเพียงเพราะต้องการตำแหน่งราชบุตรเขยล่ะ? หากเขาไม่ได้รักเจ้าล่ะ?” ผู้เป็นมารดาย่อมรักบุตรสุดหัวใจ นางไม่อยากให้หว่านเอ๋อร์ต้องเจ็บช้ำน้ำใจแม้แต่น้อย
หว่านเอ๋อร์หลุบสายตาลงนิ่งคิดอยู่ชั่วครู่ จากนั้นก็ยิ้มออกเงยหน้าขึ้นมา ท่าทางแบบเมื่อครู่หายไปโดยสิ้นเชิง “หากเป็นเช่นนี้ หว่านเอ๋อร์มั่นใจว่าหว่านเอ๋อร์สามารถทำให้เขารักหลังจากที่พวกเราอยู่ด้วยกันแล้ว” หลังจากพูดจบนางก็วิ่งออกไป
พระสนมกุ้ยเฟยมองเงาร่างของหว่านเอ๋อร์ที่ค่อยๆ ไกลออกไปแล้ว ก็ได้แต่ถอนใจออกมา นางไม่ชอบเฟิงไป๋อวี้มาตั้งแต่แรก เพราะรู้สึกว่าเขาไม่มีความบริสุทธิ์ใจพอและเป็นคนมีความคิดลึกล้ำยากจะหยั่งถึง ทำให้นางรู้สึกหวาดระแวง แต่ในเมื่อหว่านเอ๋อร์ชอบ นางก็ไม่มีทางเลือก คงได้แต่ต้องพยายามทำใจยอมรับ
หลังจากนั้นสองวันฉีเฉินก็เข้าวังมาเยี่ยมคารวะ พระสนมกุ้ยเฟยให้บ่าวทั้งหมดออกไปก่อน แล้วให้ฉีเฉินนั่งคุยกับตนเอง ฉีเฉินย่อมจะตอบตกลง เขานั่งลงฝั่งตรงข้ามรินน้ำชาสองถ้วย ถ้วยหนึ่งวางไว้ที่หน้าของพระสนมกุ้ยเฟย ส่วนตนเองก็ยกอีกถ้วยหนึ่งขึ้นดื่ม
“เฉินเอ๋อร์ เฟิงไป๋อวี้เคยแต่งงานกับผู้ใดแล้วหรือยัง?” พระสนมกุ้ยเฟยลองถามหยั่งเชิง
แม้ว่าจะไม่เข้าใจว่าเพราะเหตุใดพระสนมกุ้ยเฟยจึงถามเช่นนั้น แต่ฉีเฉินก็ยังส่ายหน้า “น้องเฟิงเคยชินกับการอยู่คนเดียว อย่าว่าแต่คนที่แต่งงานด้วยเลย แม้แต่คนที่เขาชอบพอก็ยังไม่มี ว่าแต่เสด็จแม่ถามเรื่องนี้ทำไมหรือพ่ะย่ะค่ะ?”
พระสนมกุ้ยเฟยค่อยคลายความกังวลใจลง ก่อนหน้านี้นางกังวลว่าจวินหวงจะมีคนในดวงใจอยู่แล้ว หากหว่านเอ๋อร์แต่งไปให้กลัวว่าเขาจะไม่เต็มใจรับนาง ตอนนี้ดูเหมือนว่าคงจะใช้ได้ ข้างกายยังขาวสะอาด
“จะว่าไปแล้วก็เป็นเรื่องบังเอิญจริงๆ เมื่อหลายวันก่อนเจ้าเด็กหว่านเอ๋อร์ก็ไปวัด ไม่คิดว่านางจะไปตกหลุมรักเฟิงไป๋อวี้เข้า สองวันมานี้ก็ยังคิดถึงไม่ลืมเลือน นางก็เลยมาบอกเรื่องนี้กับข้า ยิ่งนางรู้ว่าเจ้ารู้จักกับเฟิงไป๋อวี้ ก็หน้าบางไม่กล้ามาบอกเอง จึงให้ข้ามาคุยกับเจ้า หากเฟิงไป๋อวี้ยินยอม หว่านเอ๋อร์ก็จะแต่งให้เขา” พระสนมกุ้ยเฟยไม่พูดอ้อมค้อมกับฉีเฉิน นำเรื่องที่ตนเองรู้ทั้งหมดบอกกับฉีเฉินให้รู้แล้วรู้รอดไป
ไม่ว่าอย่างไรฉีเฉินก็คิดไม่ถึงว่าน้องสาวจอมดื้อและเอาแต่ใจของตนเองจะไปชอบคนที่เฉยชาและเยือกเย็นอย่างเฟิงไป๋อวี้ได้ จึงนิ่งงันไปชั่วขณะ จนกระทั่งถ้วยชาที่ถืออยู่หลุดมือลงไปบนโต๊ะ น้ำชาหกเปียกผ้าปู เขาถึงตกใจได้สติกลับมา
เขารู้สึกว่าเรื่องนี้ออกจะเหลือเชื่อไปเล็กน้อย “หว่านเอ๋อร์พูดกับเสด็จแม่ด้วยตัวเองเลยหรือพ่ะย่ะค่ะ?”
“ก็ใช่น่ะสิ หรือเจ้าคิดว่าแม่กุเรื่องขึ้นมาเองหรืออย่างไร? ใช่ว่าเจ้าไม่รู้ว่าตลอดมาแม่ไม่เคยถูกชะตากับเฟิงไป๋อวี้ หากไม่ใช่เพราะหว่านเอ๋อร์ชอบเขา แม่จะมาพูดเรื่องนี้กับเจ้าได้อย่างไร?”
ฉีเฉินนิ่งคิดอยู่ชั่วครู่ ก็รู้สึกว่าเรื่องนี้ก็ใช่ว่าจะไม่ได้ ตอนนี้เฟิงไป๋อวี้ก็ตัวคนเดียว หากเขายกน้องสาวสุดที่รักให้แต่งงานด้วย ก็จะเป็นการผูกมัดเขาไว้ และเขาก็จะยิ่งซื่อสัตย์ต่อตนเองมากขึ้น ยิ่งไปกว่านั้นหว่านเอ๋อร์ยังมีความสุขอีกด้วย
เขาพยักหน้า “เสด็จแม่โปรดวางพระทัย เรื่องนี้มอบให้ลูกไปจัดการเอง ว่าแต่เจ้าเด็กหว่านเอ๋อร์นี่ช่างตาถึงมองคนเก่งจริงๆ หากนางแต่งงานกับน้องเฟิงได้ ก็ถือเป็นโชคที่ยิ่งใหญ่ทีเดียว”
พระสนมกุ้ยเฟยหัวเราะตามไป แต่ในใจกลับไม่รู้สึกเช่นนั้น นางกลับคิดว่าชาติที่แล้วจวินหวงอาจจะสร้างคุณงามความดีอะไรไว้ ชาตินี้ก็เลยได้รับความรักจากหว่านเอ๋อร์
คนเราก็เป็นเช่นนี้ มักจะคิดว่าลูกของตนเองประเสริฐที่สุด แม้ว่าอีกฝ่ายจะเป็นมังกรหงส์จริงๆ ก็ยังรู้สึกว่าก็ธรรมดางั้นๆ เอง
วันเดียวกันหลังจากที่ฉีเฉินกลับจวนแล้ว ก็ไปยังเรือนข้างโดยตรง ก็เห็นจวินหวงกำลังพลิกอ่านหนังสือที่ถือในมืออยู่ เอนอยู่บนเก้าอี้ท่าทางสบายใจเฉิบ ฉีเฉินเห็นแล้วก็รู้สึกริษยา
นางอยู่ในอาภรณ์สีขาวปักลาย เรือนผมสีดำไม่ได้มัดรวบขึ้น เพียงแค่ใช้ผ้ารัดหลวมๆ ไว้ที่ด้านหลัง ใบหน้าขาวเกลี้ยงเกลาสีหน้าเรียบเฉย ราวกับโลกนี้ไม่มีอะไรที่จะทำให้นางกังวลใจได้ และก็ไม่มีสิ่งใดจะพานางไปจากความเยือกเย็นสงบนิ่งนี้ได้ด้วยเช่นกัน
เมื่อได้ยินเสียงเท้าเดิน จวินหวงก็ค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมองไปก็เห็นฉีเฉิน นางคิดจะลุกขึ้นมาทำความเคารพ แต่ถูกฉีเฉินยกมือขึ้นปรามไว้ว่าไม่ต้อง เขายิ้มแล้วกล่าวว่า “น้องเฟิงไม่จำเป็นต้องทำความเคารพทุกครั้งก็ได้ หากไม่มีคนนอกพวกเราก็เรียกกันว่าพี่น้อง น้องเฟิงเคยเห็นน้องชายบ้านไหนต้องทำความเคารพพี่ชายเวลาเจอกันไหมเล่า?”
ข้ออ้างของฉีเฉินไม่มีช่องว่างจะให้กล่าวแย้งได้ แต่จะให้จวินหวงเรียกฉีเฉินว่าพี่ชายยังเป็นเรื่องที่ลำบากใจนิดหน่อย นางอ้าปากอยู่หลายหนก็ยังพูดไม่ออก จึงวางหนังสือลงเชิญให้ฉีเฉินมานั่งที่โต๊ะ แล้วนำเสนอชาที่ตนเองชงไว้เรียบร้อยแล้ว รินให้ฉีเฉินหนึ่งถ้วย
หลังจากจวินหวงดื่มชาเข้าไปคำหนึ่งก็ช้อนตาขึ้นมองฉีเฉิน แล้วถามว่า “ฝ่าพระบาทมาหาผู้น้อยวันนี้มีธุระสำคัญอะไรหรือไม่?”
“น้องเฟิงไม่พูด ข้าก็เกือบจะลืมไปแล้วจริงๆ ความจริงแล้วที่มาในวันนี้เพราะมีคนไหว้วานมา” ฉีเฉินตบๆ ศีรษะ แล้ววางชาในมือลง ดวงตาทั้งคู่จ้องไปที่จวินหวงตรงๆ จวินหวงก็ไม่หลบตา จ้องเขากลับเช่นกัน
เดิมทีก็คิดว่าจะพูดตรงๆ แบบเปิดประตูมาก็เห็นภูเขา แต่พอเห็นดวงตาใสบริสุทธิ์ของจวินหวงแล้ว ไม่ว่าอย่างไรเขาก็พูดไม่ออก จึงได้เพียงแค่พูดอ้อมๆ “เอ่อ… น้องเฟิงมาอยู่ที่นี่ก็นานแล้ว สตรีเป่ยฉีสวยๆ ก็มีมากมาย เจ้ามีคนที่รู้สึกชอบพอหรือยังล่ะ?”
ได้ยินฉีเฉินถามขึ้นมากะทันหันเช่นนี้ จวินหวงก็ไม่ทันคิดให้รอบคอบ จึงส่ายหน้า “ผู้น้อยตัวคนเดียว แม้แต่บ้านให้คนมาพักอาศัยยังไม่มี ไหนเลยจะกล้าให้สตรีเหล่านั้นมาติดตามผู้น้อยให้ลำบากด้วยเล่า? ไม่สู้อยู่คนเดียวดีกว่า”
“ยังไม่มีคนที่ชอบจริงๆ หรือ?” ฉีเฉินยังคงถามต่ออย่างไม่ลดละ
“แน่นอน”
“ถ้ามีคนมาชอบพอเจ้าล่ะ เจ้าจะยินยอมหรือไม่?” ฉีเฉินถามตรงๆ
คราวนี้จวินหวงถึงเริ่มจะรู้สึกตัว พอเอามาเชื่อมโยงกับการวิเคราะห์ของหนานสวินครั้งที่แล้ว ก็พอจะเข้าใจแล้วว่าเกิดอะไรขึ้น นางลุกขึ้นพรวดแล้วคุกเข่าลงประสานมือกล่าวด้วยความนอบน้อมและจริงใจ
“ฝ่าพระบาทน่าจะเข้าใจว่าผู้น้อยเป็นคนอย่างไร ผู้น้อยเพียงอยากรับใช้มหากษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ ช่วยชาวประชาให้พ้นจากทุกข์เข็ญ กับองค์หญิงหว่านเอ๋อร์ผู้น้อยยิ่งไม่คิดอาจเอื้อม เพราะผู้น้อยรู้ตัวดีว่าตนเองไม่เหมาะสมกับองค์หญิง ขอฝ่าพระบาทโปรดพิจารณาให้กระจ่างแจ้งด้วย”
ฉีเฉินไม่คิดว่าจวินหวงจะมีทีท่าที่ดุเดือดรุนแรงเช่นนี้ จึงนิ่งงันไปชั่วขณะ เมื่อได้สติกลับมาก็รู้สึกโกรธมาก “เฟิงไป๋อวี้ อย่าทำตัวเป็นคนไม่รู้จักรักดี เจ้ารู้หรือไม่ว่าหว่านเอ๋อร์เป็นใคร? นางเป็นคนที่เจ้าไม่อาจจะปีนไปถึงด้วยซ้ำ เจ้าจะปฏิเสธง่ายดายเช่นนี้ได้หรือ?”
“เพราะผู้น้อยรู้ตัวว่าฐานะของตนเองไม่เหมาะสมกับองค์หญิง ถึงได้ตัดสินใจปฏิเสธ นอกจากนี้บิดามารดาของผู้น้อยเสียชีวิตไปยังไม่ถึงปี ผู้น้อยควรจะไว้ทุกข์แสดงความกตัญญูสามปี ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่กล้าดูหมิ่นองค์หญิง และในใจของผู้น้อยก็มีความทะเยอทะยานอันยิ่งใหญ่ ถ้าหากแต่งงานกับองค์หญิง ความสามารถที่มีในตัวผู้น้อยก็เป็นดังอาวุธที่ไร้ประโยชน์ ผู้น้อยรู้สึกหวั่นเกรงจริงๆ ว่าองค์หญิงจะรักคนผิด หวังว่าฝ่าพระบาทจะช่วยผู้น้อยอธิบายให้องค์หญิงทรงเข้าพระทัย” นางกล่าวอย่างเหมาะเจาะไม่ถ่อมตนไม่ก้าวร้าว แม้ว่าคุกเข่าอยู่ที่พื้นแต่กลับไม่พบความต่ำต้อย แววตากระจ่างใสราวกับน้ำ หลังหยัดตรงราวกับต้นสน
ฉีเฉินยกน้ำชาบนโต๊ะขึ้นมาจิบบางๆ ดวงตาทั้งคู่มองจวินหวงอย่างพิจารณาไม่วางตา และก็ไม่เรียกให้จวินหวงลุกขึ้น เขาก็อยากจะดูว่าจวินหวงจะกระดูกแข็งสักแค่ไหน
แต่ก็เห็นได้ชัดว่าจวินหวงกระดูกแข็งจริงๆ นางกัดฟันคุกเข่าอยู่ตรงนั้น เหงื่อเย็นเม็ดใหญ่บนหน้าผากร่วงเผาะๆ ลงมา แต่กลับไม่ขยับเลยแม้แต่น้อย ในที่สุดคนที่ต้องยอมแพ้ก็คือฉีเฉิน เขายังคงรู้สึกว่าจวินหวงไม่รู้จักรักดี แค่นเสียงหึ! อย่างวางอำนาจแล้วเดินอาดๆ ออกไป ปล่อยให้จวินหวงคุกเข่าอยู่ในห้องเพียงลำพัง
ลมกระโชกเข้ามาในห้องโถงระลอกหนึ่ง จวินหวงรู้สึกหนาวเยือกสั่นสะท้านไปทั้งตัว ใบหน้าขาวซีดจนน่าตกใจ นางสูดลมหายใจลึกๆ แล้วหยัดกายลุกขึ้นมายืน รู้สึกเพียงว่าแผ่นหลังของตนเองเปียกชุ่มไปหมดแล้ว
ในที่สุดฉีเฉินก็ไปแล้ว จากที่เห็นสีหน้าของเขาเมื่อครู่เขาคงจะเลิกล้มความตั้งใจเรื่องของตนเองไปแล้ว แบบนี้ก็ดีจะได้ตัดปัญหาลงไปไม่น้อย ในใจของจวินหวงคิดอยู่เช่นนี้ นางนั่งในที่ที่นางนั่งเมื่อครู่ ยกชาที่เย็นชืดแล้วขึ้นมาดื่ม รู้สึกเพียงความขมเฝื่อนในลำคอที่ราวกับจะท่วมท้นออกมา
หว่านเอ๋อร์กำลังรอข่าวดีจากฉีเฉินอย่างรู้สึกตื่นเต้น ทุกครั้งที่นางคิดถึงจวินหวงใบหน้าของนางก็จะแดงระเรื่อ นางไม่เคยรู้มาก่อนว่าตนเองจะชอบใครสักคนได้มากขนาดนี้
“พี่รอง คุณชายเฟิงพูดว่าอย่างไรบ้าง?” ใบหน้าของนางมองฉีเฉินอย่างมีความหวัง ดวงตาสว่างสดใสทำให้เขาเห็นแล้วไม่กล้าพูดถ้อยคำที่ทำร้ายจิตใจนางออกมา ฉีเฉินถอนหายใจเฮือกหนึ่ง สีหน้าเต็มไปด้วยความกลัดกลุ้ม
ติดตามอัพเดทก่อนใคร ด้วยการกดไลค์แฟนเพจเรื่อง “ลิขิตหงสาเหนือปฐพี” :https://bit.ly/2QkkL9l
อ่านฟรีได้ที่นี่ หรือ
อ่านล่วงหน้า เร็วกว่าใครหลายร้อยตอนได้ที่เว็บไซต์ กวีบุ๊ค : https://www.kawebook.com/story/1275
120/เล่ม (หากนับตอนฟรีจะเฉลี่ยอยู่ที่ 90-100 บาท/เล่มค่ะ ) เมื่อเทียบกับนิยายแปลเป็นเล่ม 30 ตอนเท่ากับ 1 เล่ม