มหาศึกสามภพ - บทที่ 611 แผนการร้าย
———————————–
หนานเหมินเสวี่ยคือใคร?
แน่นอนว่าจั่วม่อย่อมต้องล่วงรู้ คนผู้นี้คือสุดยอดฝีมือลำดับที่สามแห่งทำเนียบปิศาจมหาสันติ ผู้เคยใช้เสียงแค่นคำเดียวทำลายสำเนียงปิศาจของชีเตียวอวี่ จั่วม่อหลังจากสังหารเสิ่นอวี้กลางสนามประลอง ลำดับของมันก็ทะยานพรวดในชั่วพริบตา จากลำดับสุดท้ายขึ้นเป็นลำดับที่เจ็ดในคราวเดียว
แต่ถึงกระนั้น ลำดับที่สามจะมาท้าประลองลำดับที่เจ็ดเยี่ยงมันไปทำไมกัน?
นี่ไม่มีเหตุผลสมควรแม้แต่น้อย!
ลำดับที่สามลดตัวลงมาท้าประลองลำดับที่เจ็ด ต่อให้ได้ชัยก็ไม่เป็นธรรม ไม่เป็นที่ชื่นชม ทั้งยังไม่ได้ประโยชน์อันใด
จั่วม่อรู้สึกงุนงงสงสัย มันเดินไปที่ลาน เงยหน้าขึ้นมองหนานเหมินเสวี่ยในชุดดำที่กระพือพลิ้วอยู่ในสายลม
“เจ้าจะไม่รับคำท้าของมันรึ?” เสียกงจู่เร่เข้ามาชะโงกมองด้วย ใบหน้างดงามแฝงรอยซุกซน
“คนผู้นี้ใช่สมองมีปัญหาหรือไม่” จั่วม่อเขม้นมองหนานเหมินเสวี่ยที่กลางอากาศ ปากบ่นพึมพำไปด้วย “ข้าไม่เคยล่วงเกินมันเสียหน่อย… …น่าแปลกจริงๆ!” มันนิ่งครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ จากนั้นสั่นศีรษะ “ข้าจะไม่รับคำท้า”
“เจ้าไฉนไม่รับคำท้า?” เสียกงจู่ดวงตาทอแววสับสนงุนงง “หากเจ้าไม่รับคำท้า เจ้าจะเสื่อมเสียชื่อเสียง คนอยู่ในเมืองมหาสันติหากไม่รับคำท้า จะถูกผู้คนหัวร่อเยาะ”
“ข้าไม่สามารถเอาชนะมันได้ จะสู้กับมันไปหาอะไรเล่า” จั่วม่อแบสองมือ สีหน้าจนปัญญา
เสียกงจู่ตะลึงลาน ผู้ที่ยอมรับความอ่อนด้อยของตัวเองต่อหน้านาง นางเพิ่งจะเคยพบพานมันเป็นคนแรก บุรุษอื่นเมื่ออยู่ต่อหน้านาง มักจะพากเพียรอวดโอ่ความเข้มแข็งของพวกมัน อวดโอ่ความมั่งคั่งของตระกูลพวกมัน อวดโอ่อันใดก็ได้ที่สมควรอวดโอ่ แต่ละคนไม่ต่างจากนกยูงรำแพนหางเพื่อเรียกร้องความสนใจจากตัวเมีย
ยามนี้ถึงกับมีคนยอมรับกับนางอย่างหน้าชื่นตาบาน ว่ามันไม่มีปัญญาเอาชนะผู้อื่นได้… …
“ถ้าอย่างนั้น… …” เสียกงจู่อึกอักอยู่ครึ่งค่อนวัน ยังไม่ทราบจะกล่าวกระไรออกมา
“ปล่อยให้มันยืนรับลมอยู่บนนั้นเถอะ ลมวันนี้เย็นสบายไม่น้อยทีเดียว” จั่วม่อสั่นศีรษะ รั้งสายตากลับมา เตรียมพาเสี่ยวกั่วกับหลี่อิงฟ่งจากไป
ถ้อยคำเหล่านั้นทำเอาเสียกงจู่อดหัวร่อคิกคักไม่ได้ คนตรงหน้านางยามนี้ไม่หลงเหลือเค้าเคร่งขรึมจริงจังดังเช่นเมื่อครู่อีก มันกลับคลับคล้ายอันธพาลน้อยผู้หนึ่ง เสียกงจู่รั้งสายตากลับมา กล่าวถามอย่างร่าเริงว่า “แล้วหากพอเจ้าออกไป มันก็ไล่ตามเจ้าไปด้วยเล่า?
จั่วม่อมองซ้ายมองขวา จากนั้นกล่าวด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “ซึ่งความจริงข้าไม่เคยบอกต่อเจ้ามาก่อน แต่สิ่งที่ข้าถนัดจัดเจนที่สุดกลับไม่ใช่การดวลเดี่ยว แต่เป็นการใช้พวกมากข่มเหงคนน้อยต่างหาก”
“ใช้พวกมากข่มเหงคนน้อย… …” เสียกงจู่ทวนคำอย่างไม่แน่ใจ สุดท้ายค่อยตระหนัก นางหัวร่อจนตัวโยน ชี้หน้าจั่วม่อ ร้องเสียงสดใสว่า “เจ้าคดโกงนี่!”
จั่วม่อบังเอิญกวาดตาไปยังอวัยวะส่วนที่กระเพื่อมไหวของเสียกงจู่พอดี ถึงกับยืนนิ่งขึงตะลึงงันดุจสายฟ้าฟาด
วิชาลวงตา… …วิชาลวงตาอีกแล้ว… …หรือว่าวิชาลวงตาประเภทนี้สามารถสำแดงพลังออกมาด้วยตัวเอง?
เสียกงจู่ความรู้สึกเฉียบไว สังเกตเห็นสภาพผิดปกติของจั่วม่อทันที นางไม่เขินอาย เพียงขยิบตาให้จั่วม่อ พลางยกมือขึ้นปิดปากหัวร่อเบาๆ
“อะแฮ่ม!” จั่วม่อกระแอมไออย่างกระอักกระอ่วน จากนั้นถามว่า “มีประตูหลังหรือไม่? ที่ข้าสามารถลอบออกไปได้”
เห็นสีหน้าท่าทีของจั่วม่อ เสียกงจู่รู้สึกน่าหัวร่อ นางเรียกหญิงรับใช้นางหนึ่งเข้ามาสั่งการสองสามคำ ก่อนจะหันมาบอกกับจั่วม่อว่า “เจ้าสามารถติดตามนางไป”
“ขอบคุณมาก!” จั่วม่อกล่าวจากใจจริง ค้อมกายคารวะเสียกงจู่ เสียกงจู่นางนี้แตกต่างจากที่ผูเยากับเว่ยบอกเอาไว้อย่างสิ้นเชิง มันไม่ล่วงรู้ว่าเสียกงจู่ในสายตาบุคคลอื่นมองนางเป็นเช่นไร แต่สำหรับมัน นางเป็นคนดีผู้หนึ่ง โบกมือร่ำลาเสียกงจู่ มันรีบนำเสี่ยวกั่วกับหลี่อิงฟ่งติดตามหญิงรับใช้นางนั้นไป
มองตามเงาหลังของจั่วม่อลับหายไปจากประตู เสียกงจู่ดวงตาทอแววสลดหดหู่แวบหนึ่ง แต่เพียงชั่วกะพริบตาก็เลือนหายไป รอยยิ้มบนใบหน้าจางลง ดวงตาเปลี่ยนเป็นแหลมคมอีกครั้ง เค้าความเชื่อมั่นและปลอดโปร่งกลับคืนสู่ใบหน้านาง
นางเหลือบมองหนานเหมินเสวี่ยที่กลางเวหาด้วยหางตา กล่าวเบาๆ ว่า “ช่างขัดตานัก ขับไล่มันลงมาเถอะ”
หญิงรับใช้วัยกลางคนกำลังจะลงมือ แต่แล้วสีหน้าแปรเปลี่ยนเล็กน้อย “มีคนมาแล้ว”
นางเพิ่งจะกล่าวจบคำ สุ้มเสียงปิศาจอันแปลกพิสดารพลันดังกังวาน ดุจดังออกมาจากส่วนลึกใต้ปรภพ บุรุษในชุดขาวราวหิมะผู้หนึ่งปรากฏกายขึ้นเบื้องหน้าหนานเหมินเสวี่ย ฝูงชนที่เฝ้าดูแต่แรก ถึงกับส่งเสียงฮือฮาขึ้นมาทันที
ชีเตียวอวี่
หนานเหมินเสวี่ยดวงตาเปลี่ยนเป็นเย็นชาทีละน้อย “ชีเตียวอวี่!”
“ข้าขอท้าประลองเจ้า” สุ้มเสียงเฉื่อยชาของชีเตียวอวี่ก่อให้เกิดความอลหม่านในบัดดล
การปรากฏกายอย่างกะทันหันของชีเตียวอวี่ดึงดูดความสนใจจากหลายคน…มันใช่มาเพื่อช่วยเหลือเซี่ยวม่อเกอหรือไม่?
หนานเหมินเสวี่ยผู้มีสีหน้าเย็นชา จู่ๆ แย้มยิ้มอย่างสาสมใจ “เป็นไปตามที่คาดคิด… …”
แม้ว่าผู้อื่นไม่ได้เอ่ยออกมาว่าคาดคิดเรื่องอันใด แต่ชีเตียวอวี่ต้องสีหน้าแปรเปลี่ยนอย่างฉับพลัน ผิดท่าแล้ว มันตกหลุมพรางของอีกฝ่าย! ทันใดนั้นร่างหายวับไปทันควัน
แทบจะในเวลาเดียวกัน หนานเหมินเสวี่ยก็หายวับไป แล้วปรากฏตัวขึ้นขวางหน้าชีเตียวอวี่
หนานเหมินเสวี่ยแย้มยิ้มอย่างเฉิดฉัน เผยให้เห็นฟันขาวกระจ่าง “พี่ชีในเมื่อต้องการประลองกับข้า ผู้น้องย่อมต้องน้อมสนองให้ถึงที่สุด!”
สองสุดยอดฝีมือที่เคยมีข้อบาดหมางกัน ในที่สุดก็โคจรมาเผชิญหน้ากันอีกครั้งภายใต้การชี้นำของใครบางคน!
จั่วม่อหลังจากติดตามหญิงรับใช้ไประยะหนึ่ง จากนั้นย่องออกจากประตูหลัง และเพื่อปิดบังตนเอง จั่วม่อใช้วิชาลวงตาเล็กๆ น้อยๆ บนใบหน้าของตน มันสำนึกขอบคุณชีเตียวอวี่ที่ช่วยออกรับหน้า นี่ก็เป็นคนดีผู้หนึ่ง!
เพียงออกจากประตูได้ไม่นาน มันพลันได้ยินเสี่ยวกั่วที่ใต้แขนเอ่ยปากถามด้วยเสียงสั่นสะท้าน “ศิษย์พี่ เป็นท่านใช่หรือไม่?”
จั่วม่อชะงักกึก ยกมือขึ้นลูบศีรษะเสี่ยวกั่วอย่างนุ่มนวล “เสี่ยวกั่วชาญฉลาดยิ่ง”
เสี่ยวกั่วไม่อาจสะกดกลั้นอีกต่อไป นางโถมเข้ากอดจั่วม่อ พลางร่ำไห้ปิ่มว่าจะขาดใจ ไม่ต่างจากเด็กน้อยได้พบพานญาติสนิทในแดนไกล นางกอดรัดจั่วม่อเอาไว้แน่น น้ำหูน้ำตาทะลักทลายไม่ขาดสาย
จั่วม่อทอดถอนใจอย่างหดหู่ เฝ้าตบหลังเสี่ยวกั่วเบาๆ เป็นเชิงปลอบประโลม หลี่อิงฟ่งจนถึงยามนี้ค่อยตั้งสติได้ บนใบหน้านางทอแววทั้งเหลือเชื่อทั้งปิติยินดี “ศิษย์พี่จั่ว ท่านคือศิษย์พี่จั่วจริงๆ?”
จั่วม่อกล่าวด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน “ศิษย์พี่หญิงหลี่ ข้าคุ้นชินกับการที่เจ้าเรียกข้าว่าศิษย์น้องจั่วมากกว่า”
หลี่อิงฟ่งเองก็สุดจะสะกดกลั้นอีกต่อไป นางร่ำไห้ด้วยความปลาบปลื้มยินดีระคนโล่งใจ
จั่วม่อไม่ทราบจะปลอบโยนพวกนางอย่างไร ได้แต่ตบหลังพวกนางเบาๆ
บนท้องถนนมีผู้คนไม่มากนัก ทั้งหมดล้วนจรดจดจ่ออยู่กับการเผชิญหน้าระหว่างชีเตียวอวี่กับหนานเหมินเสวี่ยที่กลางเวหา ดังนั้นไม่มีคนสนใจพวกมัน
จั่วม่อพลันชะงักกึก กล่าวเบาๆ ว่า “มีศัตรูอยู่ที่นี่” มันกวาดตามองรอบข้างอย่างระมัดระวัง ค่อยๆ วางเสี่ยวกั่วกับหลี่อิงฟ่งลง ทั้งสองพอฟังต้องหยุดเสียงร่ำไห้ทันควัน
ทันใดนั้นทิวทัศน์รอบข้างพลันบิดเบี้ยว ต้นไม้ข้างทางราวกับแป้งหมี่นุ่มๆ ถูกมือที่มองไม่เห็นบีบนวดจนเป็นก้อนกลม
ภายในชั่วพริบตา สภาพรอบข้างพวกมันทั้งสามก็แปรเปลี่ยนไปอย่างสมบูรณ์
เสี่ยวกั่วกับหลี่อิงฟ่งหน้าซีดเผือด แต่พวกนางไม่ได้ส่งเสียงแม้สักครึ่งคำ ด้วยเกรงว่าจะรบกวนสมาธิของจั่วม่อ
เขตแดน!
จั่วม่อทันใดนั้นสายตาเปลี่ยนเป็นเย็นเยียบ นี่เป็นการซุ่มโจมตีที่ผ่านการวางแผนเป็นมั่นเหมาะ ชั่วพริบตาที่มันค้นพบสิ่งผิดปกติ มันก็ตกลงไปในหลุมพรางของศัตรูเรียบร้อยแล้ว
ศัตรูถึงกับส่งยอดฝีมือที่บรรลุพลังเขตแดนมาซุ่มโจมตีมัน!
เห็นหุ่นโคลนตัวหนึ่งผุดขึ้นจากพื้นอย่างแช่มช้า ทั่วร่างล้วนก่อตัวขึ้นจากน้ำโคลน มีเพียงรูปทรงมนุษย์แบบหยาบๆ ที่พอจะมองเห็นได้
“เจ้าเป็นใคร?” จั่วม่อพลันหวนนึกถึงหนานเหมินเสวี่ยที่เพิ่งมาท้าประลองกับมัน พลันรู้สึกว่าสองคนนี้เกี่ยวโยงกัน ต้องโพล่งออกมาอย่างฉับพลัน “ที่แท้หนานเหมินเสวี่ยรับใช้พวกเจ้าแล้ว”
“เจ้าเป็นเด็กน้อยที่ชาญฉลาดจริงๆ” ฝ่ายตรงข้ามตอบโต้ทันควัน แต่แล้วพลันตระหนักว่าถูกหลอกถามคราหนึ่ง ต้องแย้มยิ้มอย่างลี้ลับเย็นชา “แต่เจ้าล่วงรู้ก็สายเกินไปแล้ว หากเจ้าคิดตำหนิผู้ใด ได้แต่โทษว่าชีเตียวอวี่โง่งมเกินไป”
“ชีเตียวอวี่?” จั่วม่อในใจสะดุ้งเฮือก ชีเตียวอวี่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้อย่างไร? แต่มันขบคิดจนสมองแทบแตก ยังไม่เข้าใจว่าชีเตียวอวี่มาเกี่ยวข้องอะไรด้วย
“ฮ่าฮ่า เรื่องนี้ต่อให้เจ้าครุ่นคิดอย่างไรก็ไร้ประโยชน์ ยอมจำนนเสียแต่โดยดีเถอะ” หุ่นโคลนหัวร่ออย่างลี้ลับ
จั่วม่อทันใดนั้นบังเกิดความรู้สึกว่าสองเท้ากลายเป็นหนักอึ้ง ทั้งร่างจมลงอย่างช้าๆ ไม่ทราบตั้งแต่เมื่อใด พื้นหินแข็งใต้ฝ่าเท้าของมันกลับกลายเป็นโคลนเหลวราวกับบึงโคลนบ่อหนึ่ง
ภายใต้บึงโคลนส่งแรงดึงดูดอันแข็งกล้าออกมา ฉุดกระชากร่างของพวกมันทั้งสามให้จมลงไป
แปลกประหลาดยิ่ง!
ความรู้สึกคล้ายกร่อนสลายแผ่ซ่านขึ้นมาจากเท้า กลิ่นอายแปลกๆ แทรกซึมเข้าไปในร่างกายของจั่วม่อดุจแมลงชอนไช เสี่ยวกั่วกับหลี่อิงฟ่งใบหน้าซีดจนขาว พลังบำเพ็ญเพียรของพวกนางอ่อนด้อยเกินไป ต่อหน้าเขตแดนอันทรงพลัง พวกนางเปราะบางเป็นที่สุด
จั่วม่อฉุดรั้งพวกนางทั้งสองขึ้นจากบึงโคลน แบกพวกนางไว้บนหลังของมันแทน อาศัยสังขารปิศาจอันแกร่งกร้าวของมัน เพิ่มน้ำหนักของดรุณีน้อยสองนางไม่นับเป็นอะไรได้
แต่มันพอกระทำเช่นนี้ ร่างของมันจู่ๆ จมดิ่งลงไปมากกว่าเดิม
มันจมลึกลงไปในบึงจนถึงหน้าแข้ง กลิ่นอายลี้ลับเย็นเยียบไม่ต่างจากฝูงแมลงประหลาดที่คลุ้มคลั่ง เจาะทะลวงเข้าไปในร่างของมันอย่างไม่หยุดยั้ง แต่เมล็ดผลึกสุริยันในกายจั่วม่อ ไหนเลยจะยินยอมให้ดินแดนของตนถูกรุกราน มันส่งกระแสเพลิงหลายสายออกมาทำการกวาดล้างในทันที พลังเย็นอันลี้ลับชั่วร้ายถูกทำลายสิ้นในพริบตา
จั่วม่อถือครองเมล็ดผลึกสุริยัน ทั้งยังสำเร็จสังขารปิศาจอุปกรณ์สวรรค์สิบอีกา พลังชั่วร้ายทุกประเภทไม่อาจรุกล้ำก้ำเกินเข้ามาในร่างของมันได้ แต่ในขณะเดียวกัน จั่วม่อไม่ว่าต่อสู้ดิ้นรนสักเท่าใด มันก็ไม่อาจหลุดออกจากพันธนาการของพลังที่ฉุดดึงมันลงไปในบึงโคลนได้ มองดูร่างของตนจมดิ่งลงไปอย่างต่อเนื่อง จั่วม่อไม่สนใจอะไรอีกแล้ว เร่งเร้าพลังเขตแดนสวรรค์สิบอีกาซึ่งยังไม่สมบูรณ์ขึ้นในบัดดล
วงแหวนแสงสีแดงแผ่กว้างออกจากใต้ฝ่าเท้าของจั่วม่ออย่างฉับพลัน จั่วม่อรู้สึกสองเท้าโปร่งเบาขึ้นทันที ร่างกายของมันก็ลอยขึ้นเล็กน้อย
“โอ้ ข้าหลงคิดว่าเจ้าจะใช้กงล้อดาราจักรเป็นอันดับแรก นึกไม่ถึงว่าจะใช้เขตแดนสวรรค์สิบอีกาที่ยังไม่สมบูรณ์ของเจ้า” หุ่นโคลนแย้มยิ้มเย็นเยือก “เขตแดนสวรรค์สิบอีการ้ายกาจอย่างแท้จริง แต่นั่นหมายถึงเจ้าฝึกสำเร็จแล้วเท่านั้น ยามนี้คิดใช้ของที่ยังบกพร่องมาต่อกรกับข้า เจ้าเรียกได้ว่าฝันเฟื่องเกินไปแล้ว”
ทันใดนั้นบึงโคลนแผ่กว้างออกจากใต้ฝ่าเท้าของจั่วม่อ ภายในชั่วพริบตาเดียว สิ่งที่ปรากฏอยู่ในสายตาของจั่วม่อ ก็มีเพียงบึงโคลนกว้างใหญ่ไพศาลดุจห้วงสมุทร
แรงดึงดูดที่เท้าของมันยิ่งทวีความกล้าแข็งขึ้นหลายเท่า ราวกับว่ามีสัตว์ประหลาดยักษ์ซ่อนตัวอยู่ใต้บึง คอยฉุดลากมันลงไป พลังดูดนี้รุนแรงเสียจนจั่วม่อแทบยกแขนไม่ขึ้น ชั่วพริบตานั้น น้ำโคลนท่วมสูงขึ้นมาถึงเข่า
บัดซบ!
จั่วม่อไม่ได้คาดฝัน ว่ามันกระทั่งเรี่ยวแรงจะตอบโต้ยังไม่มี!
สายตาของมันมองไปยังกงล้อดาราจักรที่ข้อมือ มันเพ่งจิตวูบ ประกายดาราจักรหมุนคว้าง พุ่งวาบเข้าจู่โจมหุ่นโคลนอย่างเกรี้ยวกราด
หุ่นโคลนหัวร่อดังๆ พร้อมกันนั้นมันก็จมลงไปใต้บึงโคลน ร่างหายวับไปทันควัน ประกายดาราจักรจู่โจมใส่ความว่างเปล่า
“น่าสนใจอยู่บ้าง” คราวนี้สุ้มเสียงดังมาจากด้านหลังจั่วม่อ เห็นหุ่นโคลนปรากฏขึ้นอีกครั้งราวกับเงาผี สุ้มเสียงของมันแฝงไว้ด้วยร่องรอยภาคภูมิลำพอง “ฟังว่ากงล้อดาราจักรของเจ้าสยบขนราชานกยูงอย่างราบคาบใช่หรือไม่? ดูเหมือนว่าขนราชานกยูงเพียงมีชื่อเสียงเกินจริงเท่านั้น น่าผิดหวังยิ่งนัก”
จั่วม่อไม่โต้ตอบ ประกายดาราจักรเปลี่ยนเป็นลำแสงสายหนึ่ง จู่โจมใส่ด้านหลังของมันดุจสายฟ้าฟาด
แทบจะในเวลาเดียวกัน หุ่นโคลนพลันผุดขึ้นจากบึงโคลน กลับมาอยู่ด้านหน้าของมันอีกครั้ง
“พลังฝีมือของเจ้ามีเพียงเท่านี้เองรึ?” หุ่นโคลนมีทีท่าผิดหวังอยู่บ้าง “หากเจ้าทำได้เพียงเท่านี้จริงๆ เช่นนั้นวันนี้ของปีหน้า จะเป็นวันครบรอบวันตายของเจ้าแล้ว!”
มันเพียงกล่าวจบคำ หุ่นโคลนตัวแล้วตัวเล่าก็ทยอยผุดขึ้นจากบึงโคลนอย่างไม่ขาดสาย
ในชั่วพริบตา เหล่าหุ่นโคลนก็เต็มพรืดแน่นขนัดดุจท้องทะเล ไม่ว่ามองไปทางใด ล้วนเต็มไปด้วยหุ่นโคลนอันไร้ที่สิ้นสุด!