มหาศึกสามภพ - บทที่ 610 ร่ำสุรา
เสียกงจู่เพ่งตาคู่งามมองดูเซี่ยวม่อเกอผู้มีสีหน้าประหม่าตึงเครียด ในใจนางนอกจากลอบประหลาดใจแล้ว ยังปะปนไปด้วยความกระตือรือร้นสนใจอยู่บ้าง ผู้คนรอบกายนางล้วนเป็นนายน้อยตระกูลใหญ่ ในหมู่พวกมันผู้ใดไม่ช่ำชองชำนาญเรื่องสตรี? นานเท่าใดแล้วที่นางไม่ได้พบเจอบุรุษที่สัตย์ซื่อบริสุทธิ์เช่นนี้?
หวนนึกถึงเมื่อครั้งที่นางยังคงเป็นเพียงดรุณีน้อยนางหนึ่ง รอบข้างห้อมล้อมไปด้วยใบหน้าเยาว์วัยที่ไม่รู้ความ ไม่มีสายตากระหายอยากอย่างรุนแรงราวกับปรารถนาจะกลืนกินนางลงไป มีเพียงความไร้เดียงสาของเด็กน้อย พวกมันเป็นเพื่อนเล่นที่ดีของนาง
แต่แล้วเมื่อนางค่อยๆ เติบโตเต็มสาว ทุกสิ่งทุกอย่างก็เปลี่ยนไป… …
ที่ใดสักแห่งในหัวใจของเสียกงจู่ ตำแหน่งแห่งที่ซึ่งยังคงเก็บซ่อนความนุ่มนวลละมุนละไมเอาไว้ คล้ายถูกสะกิดลูบไล้อย่างเบามือ
“เจ้าหวาดเกรงข้านักหรือ?” นางถามเสียงอ่อนเบา
จั่วม่อที่เพิ่งลืมตาขึ้นและตระเตรียมจะท้าสู้กับนาง พอฟังประโยคนุ่มละมุนของผู้อื่น แทบสำลักคำพูดตัวเอง ฝืนกลืนวาจากลับลงไปอย่างยากเย็น
มันเบิกตากว้าง “ข้านี่หรือหวาดเกรงเจ้า?” จั่วม่อไม่อาจเข้าใจได้ เสียกงจู่ไฉนบังเกิดความคิดอันแปลกประหลาดเช่นนี้ เสี่ยวม่อเกอดูคล้ายมุสิกขลาดเขลาผู้หนึ่งหรือไร?
“หากเจ้ามิได้หวาดเกรงข้า เช่นนั้นไฉนไม่ยอมมองข้า?”
จั่วม่อผู้เตรียมจะร้องท้าทาย ‘มาเถอะ มาสู้กัน!’ ถูกวาจาแฝงแววตัดพ้อของเสียกงจู่ทำเอาตะลึงลานไป
จั่วม่อพบว่ามันไม่สามารถตามความคิดของผู้อื่นได้ทัน จริงสิ มันไฉนไม่กล้ามองนาง?
มันเบิกตากลมกว้าง เริ่มเพ่งมองเสียกงจู่อย่างเอาจริงเอาจัง
งดงามเหลือเกิน… …นี่มัน… …ความรู้สึกนี้… …ไฉนข้ารู้สึกลำคอแห้งผาก ร้อนรุ่มแปลกๆ … …
นี่มันเวทวิชาลวงตา!
จั่วม่อสะท้านขึ้นทั้งร่าง
เสียกงจู่เฝ้ามองสีหน้าจั่วม่อแปรเปลี่ยนไปเรื่อยๆ อดระเบิดหัวร่องอหายไม่ได้ ชั่วพริบตานั้นนางน่าดูยิ่ง รอยยิ้มของนางราวกับจะบันดาลให้ทั้งห้องสดใสกระจ่างจ้า
จั่วม่อแทบไม่อาจละสายตาจากนาง ลมหายใจกระชั้นเร่งร้อนขึ้นมา
บัดซบ…ก็แค่… …แค่เวทวิชาลวงตา… …คิดหรือว่าจะเอาชนะเสี่ยวม่อเกอผู้นี้ได้… …แต่ว่า… …ช่างร้ายกาจเหลือเกิน… …
“มาเถอะ อย่ามัวแต่ทำหน้าพิลึกเช่นนั้นอยู่เลย มาลองลิ้มรสสุราอิ่นเยี่ย (ลากราตรี) ของข้าดูบ้าง นี่เป็นสุราพื้นบ้านที่มีชื่อเสียงของแดนปิศาจ สามารถเทียบได้กับสุราปิศาจเมิ่งผอ น่าเสียดายที่ข้ามีเพียงขวดเดียวเท่านั้น วาจาขอกล่าวล่วงหน้า หลังจากดื่มหมดสิ้น เจ้ามิอาจโทษว่าข้าตระหนี่ถี่เหนียวได้” เสียกงจู่รินสุราให้แก่จั่วม่ออย่างยิ้มแย้ม นางผิวขาวผ่องปานเย้ยหิมะ นวลเนียนดุจกระเบื้องเคลือบเนื้อดี ร่างโน้มเอนมาทางจั่วม่อเล็กน้อบ เผยร่องหุบเขาลึกล้ำระหว่างทรวงอกของนาง คล้ายตั้งใจคล้ายไม่เจตนา แต่ดูเหมือนว่าจะแฝงไว้ด้วยมนต์ขลังที่ทำให้ผู้คนลุ่มหลงตายโดยไม่ทันรู้สึกตัว
จั่วม่อรู้สึกร่างกายท่อนล่างร้อนวาบ ปากคอแห้งผาก บังเกิดความรู้สึกแปลกๆ ที่ยากจะบ่งบอกบรรยาย
เวทวิชาภาพลวงตาอันร้ายกาจนัก!
ยังร้ายกาจกว่าเวทวิชาลวงตาที่แม่นางกระเรียนกระดาษเคยส่งมากลั่นแกล้งมันบนภูเขาสุญตาในครั้งนั้นเสียอีก!
หรือว่านี่คือการโจมตีของนาง?
จั่วม่อดวงตาทอประกายเด็ดเดี่ยว
บุรุษที่แท้จริงจะปฏิเสธกระบวนท่าเช่นนี้ได้หรือ?
โดยไม่ต้องเอ่ยคำที่สอง จั่วม่อมือซ้ายลอบผนึกเคล็ดลำแสงบดกระดูกทลายว่างเปล่า ขณะที่เอื้อมมือขวาไปหยิบจอกสุราอิ่นเยี่ย จากนั้นสาดหายเข้าไปในลำคอรวดเดียวหมดจอก
รอจนสุราไหลล่วงผ่านลำคอ จั่วม่ออดตะลึงงันไม่ได้ สุรานี้มีรสชาติแตกต่างจากสุราปิศาจเมิ่งผออย่างสิ้นเชิง สุราปิศาจเมิ่งผอร้อนแรงปานเปลวเพลิง เมื่อล่วงผ่านลงลำคอให้ความรู้สึกร้อนวาบดั่งเปลวไฟไหลผ่านลงไปเป็นทาง ส่วนสุราอิ่นเยี่ยเยือกเย็นโปร่งเบา รสชาติซึมซาบเข้าไปในจิตใจของมันโดยตรง ให้ความรู้สึกสุขสบายอย่างบอกไม่ถูก
รสชาติไม่เลวเลยจริงๆ?
ฮะ เวทวิชาลวงตาไฉนไม่ถูกทำลาย?
เสียกงจู่หัวร่อเบาๆ “ท่าดื่มอันหยาบกระด้างของเจ้าเหมาะสมสำหรับดื่มสุราปิศาจเมิ่งผอ แต่เกรงว่าจะไม่เหมาะกับสุราอิ่นเยี่ย เจ้าต้องค่อยๆ จิบ ปล่อยให้รสสุราแผ่ซ่านไปในปากของเจ้าเสียก่อน แล้วค่อยๆ กลืนลงไปช้าๆ ลองดูใหม่เถอะ เจ้าจะได้รสชาติสุราที่ผิดแผกแตกต่าง”
กล่าวจบคำ เสียกงจู่ก็หยิบจอกสุราของนางขึ้น ดวงตาหรี่ปรือเล็กน้อย ริมฝีปากสีแดงสดอันนุ่มนิ่มเย้ายวนใจของนาง เมื่อประดับอยู่บนใบหน้าขาวผ่องปานเย้ยหิมะ ช่วยขับเน้นให้ดูโดดเด่นน่ามองเป็นพิเศษ
จั่วม่อถึงกับเหม่อลอยไปวูบหนึ่ง
แต่มันรีบปลุกปลอบจิตใจ ตื่นตัวขึ้นมาโดยเร็ว คราวนี้มันลอกเลียนวิธีดื่มของเสียกงจู่ เพียงยกจอกสุราขึ้นจิบอึกเล็กๆ รอจนสุราอิ่นเยี่ยซาบซ่านไปในปาก กลิ่นหอมอันพิเศษเฉพาะชนิดหนึ่งก็แผ่กระจายไปทั่วร่างของมัน ในชั่วพริบตานี้ มันราวกับว่ากำลังแช่ร่างอยู่ในสายน้ำฉ่ำเย็น สุขสบายจนแทบครวญครางออกมา
“สุขสบายยิ่ง!” เสียกงจู่สองตาหลับพริ้ม กล่าวด้วยสุ้มเสียงปานละเมอ “เมื่อครั้งที่ข้ายังเด็ก ข้าชมชอบร่ำสุราอิ่นเยี่ยมากที่สุด แต่บิดาข้าไม่ชมชอบให้ข้าดื่มสุรา ดังนั้นข้ามักจะลอบเข้าไปในห้องเก็บสุราของท่านพ่ออยู่เป็นประจำ มีอยู่ครั้งหนึ่งข้าบังเอิญดื่มมากเกินไป เผลอตัวฟุบหลับอยู่ในห้องสุรานั้นเอง จนกระทั่งท่านพ่อจับข้าได้คาของกลาง… …”
นางแลบลิ้นน้อยๆ อย่างซุกซน ประหนึ่งเด็กน้อยที่ถูกบิดามารดาจับได้ว่าเล่นซุกซนเกินเลย
“… …ท่านพ่อปิดตายห้องเก็บสุราทันที จนกระทั่งถึงตอนนี้ ยังไม่เคยเปิดออกอีกเลยแม้แต่ครั้งเดียว ยามนี้แทบไม่มีผู้คนล่วงรู้ว่าที่นั่นมีห้องเก็บสุราอยู่ด้วย”
“ช่วงเวลาที่ท่านพ่อยังอยู่ที่นี่ ชวนให้หวนคิดถึงยิ่งนัก”
ในดวงตาคู่งามของเสียกงจู่คล้ายทอประกายอารมณ์ความรู้สึกบางประการ นางแหงนเงยขึ้น ยกจอกสุราดื่มรวดเดียวจนเกลี้ยงฉาด
รอจนวางจอกสุราลง สองแก้มของนางก็แดงซ่าน ดวงตาหรี่ปรือดุจเคลิ้มฝัน ถามมาด้วยสุ้มเสียงเลื่อนลอย
“เมื่อตอนที่เจ้ายังเด็ก เคยเล่นซุกซนอันใดบ้าง?”
จั่วม่อสามารถสัมผัสได้ถึงความโศกศัลย์ละห้อยหาในถ้อยวาจาของเสียกงจู่ คลับคล้ายกับในยามที่มันได้ยินข่าวเคราะห์กรรมของท่านเจ้าสำนักกับเหล่าอาจารย์ทั้งสี่ แต่มันย่อมไม่อาจบอกออกมาจากปาก พอได้ยินคำถามของนาง ได้แต่สั่นศีรษะ “ตอนยังเด็กหรือ? ข้าไม่ล่วงรู้อันใดเลย”
“เจ้าไม่รู้?” คำตอบนี้ทำให้เสียกงจู่แปลกใจอยู่บ้าง
“ข้าถูกคนลบความทรงจำ ทั้งยังแปลี่ยนแปลงรูปโฉม ข้าไม่ล่วงรู้เรื่องราวอดีตของข้าแม้แต่น้อย” จั่วม่อตอบตามความสัตย์จริง เดิมทีมันไม่อยากกล่าวถึงเรื่องอดีต แม้ว่าไม่ใช่เรื่องที่ต้องเก็บเป็นความลับ แต่ก็ไม่ใช่เรื่องที่ต้องเที่ยวบอกกล่าวต่อคนแปลกหน้าเช่นกัน ทว่าท่วงท่าหวนรำลึกของเสียกงจู่คล้ายบอกต่อมันด้วยใจจริง ดังนั้นมันอดตอบแทนนางอย่างจริงใจไม่ได้
“อา!” เสียกงจู่ยกมือปิดปาก สีหน้าตื่นตะลึง นางไม่คาดฝันว่าจะได้รับคำตอบที่น่าสะพรึงกลัวถึงเพียงนี้
“ขออภัยด้วย!” นางกล่าวด้วยสีหน้าสำนึกเสียใจอย่างสุดซึ้ง
“อย่ากังวลไปเลย” จั่วม่อสั่นศีรษะอย่างไม่เห็นสำคัญ “จะอย่างไรข้าก็จดจำสิ่งใดไม่ได้อยู่แล้ว”
“บางทีจดจำไม่ได้ก็ไม่ใช่เรื่องเลวร้าย” เสียกงจู่แย้มยิ้มจางๆ อย่างปลอบประโลม จากนั้นรินสุราให้แก่จั่วม่อ “บางครั้งการจดจำเรื่องที่ไม่อยากจำ ก็เป็นสิ่งโหดร้ายมาก”
จั่วม่อยกจอกสุราขึ้นดื่มรวดเดียว แม้ว่าการค่อยๆ จิบทีละน้อยจะให้รสชาติที่ดีเลิศกว่า มันยังคงชมชอบดื่มรวดเดียวหมดจอกมากกว่า นี่ให้ความรู้สึกสาสมใจอย่างบอกไม่ถูก ถ้อยคำของเสียกงจู่กระทบถูกจุดอ่อนไหวในใจมัน พอหวนนึกถึงประโยค ‘อย่าได้ลืมเลือน’ ที่มักปรากฏขึ้นในความฝันของมัน ความขมขื่นสายหนึ่งพลันแผ่ซ่านขึ้นในใจ
“แต่อย่างไรก็ตาม การหลงลืมเรื่องที่ไม่อยากลืมกลับโหดร้ายกว่ามาก”
จั่วม่อรินสุราให้ตัวเอง แล้วยกกระดกรวดเดียวหมดจอกอีกรอบ
เสียกงจู่งงงันวูบ นางแทบไม่อยากเชื่อว่านี่จะเป็นสิ่งที่กล่าวออกจากปากของเด็กหนุ่มสัตย์ซื่อโง่งมผู้หนึ่ง อดนิ่งคิดทบทวนความหมายอันลึกล้ำไม่ได้ ยามกะทันหันนางคล้ายเหม่อลอยอยู่บ้าง ราวกับว่าจิตใจฟุ้งซ่านไปไกล
ชั่วอึดใจใหญ่ นางค่อยแย้มยิ้มกระจ่างจ้า ประคองจอกสุราขึ้นกล่าว “ขอดื่มให้แก่ประโยคนี้ พี่เซี่ยวม่อเกอ เชิญ!”
จากนั้นนางก็เลียนเยี่ยงจั่วม่อ ยกจอกสุราขึ้น สาดลงลำคอในรวดเดียว รอจนนางวางจอกสุราลง สองแก้มยิ่งแดงซ่าน ดวงตายิงหรี่ปรือ ลมหายใจหอบกระชั้นเล็กน้อย ยิ่งเพิ่มเสน่ห์เย้ายวนใจกว่าเดิม
นางกลอกตาตลบหนึ่ง ท่วงท่าเปลี่ยนเป็นน่ารักน่าหลงใหล เสียกงจู่ชม้ายชายตามองจั่วม่อ กล่าวเสียงอ้อยอิ่งว่า “ข้าอยากรู้นัก เจ้าเสาะหาข้าด้วยเหตุใด?”
จั่วม่อยามนี้รู้สึกมึนเมาอยู่บ้าง หลงลืมวาจาผีสางของผูเยากับเว่ยไปตั้งแต่แรก พอได้ยินคำถามของเสียกงจู่ มันก็ไม่บ่ายเบี่ยง กล่าวอย่างตรงไปตรงมาว่า “ข้ามาเพื่อร้องขอคนสองคนจากกงจู่”
“เป็นสองคนใด จึงคู่ควรให้เจ้าต้องบากหน้ามาร้องขอ?” เสียกงจู่ค้อนใส่จั่วม่อวงหนึ่งอย่างขุ่นเคืองแง่งอน
“เป็นสหายซิวเจ่อของข้าสองคน ฟังว่ากงจู่ช่วยรับตัวพวกนางเอาไว้ ดังนั้นข้าได้แต่บากหน้ามาร้องขอพวกนางจากกงจู่” จั่วม่อไม่หลบเลี่ยงสายตาของเสียกงจู่ ตอบคำอย่างเคร่งขรึมจริงจัง
“สหายซิวเจ่อ?” เสียกงจู่ประหลาดใจอยู่บ้าง “นึกไม่ถึงว่าเจ้าถึงกับมีสหายเป็นซิวเจ่อด้วย ถูกแล้ว ก่อนหน้านี้ข้ารับตัวสตรีซิวเจ่อสองนางเอาไว้ แหล่งข่าวของเจ้าแม่นยำไม่เลว”
กล่าวถึงตอนท้ายแฝงแววเย้ายวนเล็กน้อย สีหน้าท่าทียิ่งเผยเสน่ห์ออกมา ดวงตาหยาดเยิ้มปานจะหยด
“ข้าบังเอิญช่วยเหลือสหายอีกคนไว้ได้” จั่วม่อชี้แจงอย่างสัตย์ซื่อ
“ดังนั้นเจ้าคิดมาล่อลวงข้า?” เสียกงจู่ดวงตาคู่งามชม้ายมองจั่วม่อ ใบหน้าทอแววสนุกสนาน
“ถูกต้อง” จั่วม่อยอมรับอย่างซื่อสัตย์จริงใจ
“ซิวเจ่อสตรีสองนางนั้นสำคัญต่อเจ้ามากถึงเพียงนั้นเชียวรึ?” เสียกงจู่ถาม
“สำคัญยิ่ง” จั่วม่อผงกศีรษะรับอย่างไม่ลังเล
เสียกงจู่ปิดปากหัวร่อคิกคัก “ที่แท้เจ้าชมชอบสตรีซิวเจ่อ หากเรื่องนี้แพร่ออกไป เกรงว่าสตรีปิศาจมากมายคงหัวใจสลายแล้ว”
จั่วม่อแทบสำลัก
“ฮ่าฮ่า เรามาว่ากันต่อเถอะ” เสียกงจู่ดวงตาทอแววซุกซน “ข้าสามารถมอบพวกนางให้แก่เจ้า แต่เดิมทีข้าตั้งใจจะใช้พวกนางเป็นหญิงรับใช้ ยามนี้เมื่อมอบพวกนางให้แก่เจ้า แล้วข้าจะได้ประโยชน์อันใดบ้างเล่า?”
“บอกมาเถอะ!” จั่วม่อสีหน้าจริงจัง มันแม้ละโมบโลภมาก ทำการค้าคราใดต้องต่อรองราคา แต่เรื่องนี้มันไม่คิดต่อรองแม้สักครึ่งคำ
“ข้าสามารถลองคิดดูก่อนได้หรือไม่? ถือว่าเจ้าติดค้างข้าหนหนึ่งดีหรือไม่? รอจนข้าคิดออกค่อยบอกต่อเจ้าเป็นอย่างไร?” เสียกงจู่เผยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์
จั่วม่อถึงกับตะลึงลานไปเป็นครู่ ต้องใช้เวลาพักใหญ่กว่าจะสามารถตอบสนอง มันกล่าวอย่างระมัดระวังว่า “หลังจากพบตัวพวกนาง ข้าตั้งใจจะไปจากนครมหาสันติแล้ว”
“ไปจากนครมหาสันติ?” เสียกงจู่งงงันวูบ ดวงตาทอแววผิดหวังสุดระงับ แต่แล้วหายวับไปทันที นางกล่าวด้วยรอยยิ้มน้อยๆ “ที่แท้เจ้ามาเพื่อพวกนางโดยเฉพาะ”
“มิผิด” จั่วม่อยอมรับ
“เมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าแทบไม่อยากมอบพวกนางให้แก่เจ้าจริงๆ” เสียกงจู่กล่าวปนหัวร่อเบาๆ “ยากนักที่จะได้พบพานสหายสุราที่ดีสักคน”
แต่เมื่อมองเห็นสีหน้าตึงเครียดของจั่วม่อ นางระเบิดเสียงหัวร่อสดใสดุจระฆังเงิน กล่าวราวรำพึงกับตัวเองว่า “ยากนักที่ข้าจะใจดีมีเมตตา ข้าเองก็คิดรักษาสภาพนี้ไว้ให้นานสักหน่อย ไม่ต้องกังวล ไม่ต้องกังวล ข้าจะมอบพวกนางให้แก่เจ้า”
กล่าวจบคำ นางหันไปออกคำสั่งด้วยเสียงเบาต่ำ หญิงรับใช้วัยกลางคนเหลือบมองจั่วม่อแวบหนึ่ง ไม่เห็นนางมีการเคลื่อนไหวใด แต่หลังจากนั้นไม่นาน บ่าวรับใช้ผู้หนึ่งก็นำหญิงรับใช้สองคนเข้ามา
เสี่ยวกั่ว! หลี่อิงฟ่ง!
จั่วม่อดวงตาเบิกกว้างอย่างฉับพลัน ยากจะปิดบังสีหน้าปิติยินดีของมันได้ แต่มันพยายามระงับใจอย่างสุดความสามารถ ไม่ให้หลุดปากร้องเรียกพวกนางออกไป
“เอาละ นับแต่นี้ไป พวกนางเป็นของเจ้า” เสียกงจู่เอื้อนเอ่ยต่อจั่วม่อด้วยรอยยิ้มพริ้มพราย
จั่วม่อร้อยไม่คิดพันไม่คิดว่าเรื่องราวจะราบรื่นถึงเพียงนี้ มองดูใบหน้างามล้ำของเสียกงจู่ ต้องค้อมกายคารวะอย่างจริงจัง “วันหน้าหากกงจู่นึกได้เรื่องที่ต้องการ ตราบเท่าที่ข้ายังไม่ไปจากนครมหาสันติ โปรดบอกมาได้ทุกเมื่อ!”
เสี่ยวกั่วทันใดนั้นเบิกตากว้าง สีหน้าทอแววเหลือเชื่อ ส่วนหลี่อิงฟ่งมองดูจั่วม่ออย่างกลัดกลุ้มกังวลใจ
“เช่นนั้นยามนี้เจ้าก็ติดค้างข้าเรื่องหนึ่ง” ดวงตาคู่งามของเสียกงจู่จับจ้องมองดูจั่วม่อ ปากกล่าวอย่างยิ้มแย้ม “ข้าชมชอบที่สุดเวลาที่ผู้คนติดค้างข้า รอจนข้าคิดออก เจ้าไม่อาจผิดคำพูด”
“ย่อมแน่นอน!” จั่วม่อกล่าวอย่างเคร่งขรึม
“พาสหายของเจ้าไปเถอะ ระหว่างนี้พวกนางต้องเผชิญความยากลำบากไม่น้อย” เสียกงจู่กล่าวปนหัวร่อเบาๆ
จั่วม่อเองก็ต้องการลากลับอยู่แล้ว รีบประสานมือคารวะเสียกงจู่ “เช่นนั้นขออำลาแล้ว!”
มันผุดลุกขึ้น มือหนึ่งฉุดดึงเสี่ยวกั่ว อีกมือลากรั้งหลี่อิงฟ่ง ตระเตรียมทะยานร่างขึ้นกลางเวหา
ทันใดนั้นเอง สุ้มเสียงสดใสกระจ่างชัดดังก้องลงมาจากฟากฟ้า
“พี่เซี่ยวม่อเกออยู่ที่ใด? ผู้น้องหนานเหมินเสวี่ย ขอท้าประลอง!”
เสียกงจู่มองดูใบหน้าแข็งทื่อตะลึงลานของจั่วม่อ นางยกมือขึ้นปิดปากหัวร่อคิกคัก ชิงออกตัวว่า “นี่ไม่เกี่ยวข้องกับข้า!”
ในดวงตาคู่งาม ทอประกายยินดีที่ยากจะสังเกตเห็นวูบหนึ่ง